จี้สอบวินัย รอง อธ.อัยการคบชู้เมียคนจีน เเฉเปย์ระหรู-มีบ้าน 50 หลัง ขณะที่ รองโฆษกอัยการ เผยมีคดีเรียกรับเงิน อัยการปราบทุจริตฯ เห็นควรฟ้องเเล้ว

วันที่ 25 ก.ย. 2567 เวลา 18:08 น.

ทนายตั้ม จี้สอบวินัย รอง อธ.อัยการตีท้ายครัว เเฉเปย์รถหรู-มีบ้าน 50 หลัง ขณะที่ ทีมโฆษกอัยการ เผย รอง อธ.อัยการมีคดีเรียกรับเงิน อัยการปราบทุจริตฯ เห็นควรฟ้อง เสนอ อสส.พิจารณาเเล้ว หาก อสส.สั่งฟ้อง เข้าเกณฑ์สอบวินับร้ายแรงถูกสั่งพักราชการได้  วันนี้ (25 ก.ย.67) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนเเจ้งวัฒนะ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยนายเจียงเฟิง เฉิน หรือเคน ชาวจีน เดนทางมายื่นร้องเรียนให้มีการสอบวินัยรองอธิบดีอัยการรายหนึ่ง กรณีพบหลักฐานว่า มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับ น.ส.ชิสา หรือเอวา ภรรยาชาวไทยของนายเจียงเฟิง เฉิน โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ โดยทนายษิทรา กล่าวว่า เนื่องจากพบว่า รองอธิบดีอัยการท่านนี้ มีความมาเกี่ยวข้องในแง่ของความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอดีตภรรยาตั้งแต่เดือนพ.ค. ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการหย่าในวันที่ 9 ก.ค. มีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่ทั้งคู่กอดหอมกัน พร้อมทั้งมีพยานบุคคลที่ยืนยันว่า มีการวางแผนกันให้ฝ่ายหญิงเลิกกับนายเจียงเฟิง เฉิน ตั้งแต่ต้น แม้จะมีคนเตือนอัยการท่านนี้ว่า หญิงคนนี้มีสามีชาวจีนแล้ว แต่ก็ไม่สนใจและยังมีการคบหามีสัมพันธ์กัน รวมทั้งอัยการท่านนี้ยังได้ซื้อรถ BMW Z4 สีขาว ให้ฝ่ายหญิงด้วย โดยใช้ชื่อผู้หญิงคนหนึ่งในการซื้อและครอบครองรถคันดังกล่าว แต่เป็นที่รับรู้เป็นการทั่วไปว่าเป็นรถของรองอธิบดีอัยการคนนี้ ตนจึงอยากร้องขอให้อัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการให้ความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิด ก็ขอให้ดำเนินการวินัยร้ายแรงด้วยการปลดออกหรือไล่ออกอัยการคนนี้ ทั้งนี้ ตนทราบมาว่า อัยการท่านนี้นั้นมีบ้านมากถึง 50 หลัง และเคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริตเรียกรับผลประโยชน์มาก่อน ซึ่งตนจะติดตามการดำเนินการทางวินัยของคณะกรรมการอัยการ ทั้งเรื่องคดีที่ถูกชี้มูลทุจริต และประพฤติที่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอดีตภรรยาของนายเจียงเฟิง เฉิน  ซึ่งมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนเป็นทนายความแผ่นดิน ซึ่งนอกจากวันนี้ที่ตนจะมาร้องให้ดำเนินการทางวินัยอัยการแล้ว ก็จะนำพยานหลักฐานที่อัยการคนนี้ลักลอบเป็นชู้กับเอวาไปยื่นฟ้องชู้ที่ศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง และจะนำไปเป็นพยานหลักฐานใช้ในคดีที่ฝ่ายหญิงยักยอกทรัพย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าฝ่ายหญิงมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและจงใจที่จะปลอกลอกยักยอกทรัพย์จากนายเจียงเฟิง เฉิน ภายหลังรับมอบหนังสือ นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ,นายณรงค์ ศรีระสันต์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ,นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงข่าวกรณีดังกล่าว โดยนายประยุทธ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องสำคัญ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะไม่ปล่อยปละละเลย และเเจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายทราบ ซึ่งขั้นตอนหลังจากได้รับหนังสือจากทนายษิทราแล้ว จะนำเรื่องเสนอไปยังอัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยต่อไป แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าไร ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ส่วนที่กรณีที่อัยการรายนี้เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีเรียกรับสินบนชาวจีนที่ใช้พาสปอร์ตปลอม 500,000 บาทนั้น นายวัชรินทร์ กล่าวว่า รองอธิบดีอัยการคนดังกล่าวถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 ในข้อหาเป็นคนกลางเรียกรับ หรือยอมจะรับในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เเละ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในข้อหารับเงินเกิน 3 พันบาท ซึ่งสำนวนดังกล่าวถูกส่งไปยังสำนักงานอัยการปราบปรามการทุจริตฯ แล้ว ทางอธิบดีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตพิจารณาไม่เห็นด้วยในประเด็นข้อหา รับเงินเกิน 3 พันบาท เนื่องจากมองว่า มีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 อยู่แล้ว จึงมีการชี้ข้อไม่สมบูรณ์ และประชุมร่วมกันระหว่างคณะทำงานอัยการเเละ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์นั้น ผลปรากฎว่าที่ประชุมมีมติออกมาว่า ทาง ป.ป.ช.เห็นชอบกับทางอัยการตัดข้อหารับเงินเกิน 3 พันบาทออกไป คงเหลือแต่ข้อหาเป็นคนกลางเรียกรับเงินตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 ซึ่งทางอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดีแล้ว ขั้นตอนอยู่ระหว่างเรียนอัยการสูงสุดพิจารณามีคำสั่ง ถ้าอัยการสูงสุดสั่งฟ้องก็จะต้องนำตัวมายื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ อันนี้ถือเป็นความคืบหน้าทางคดีอาญา ส่วนขั้นตอนการสอบวินัยในคดีเรียกรับเงิน นายนาเคนทร์ เผยว่า จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่า มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เบื้องต้นอยู่ระหว่างสอบสวน  ซึ่งต้องรอผลสอบสวนวินัยชั้นต้นก่อนถึงจะพิจารณาเป็นสอบสวนวินัยร้ายเเรงได้ ขณะที่ นายณรงค์ กล่าวถึงประเด็นที่ทนายษิทรายื่นร้องในวันนี้ว่า ประเด็นในวันนี้จะไม่ถูกนำไปรวมกับเรื่องวินัยที่รองอธิบดีอัยการถูกชี้มูลเรื่องเรียกรับสินบน เพราะเป็นคนละส่วนกัน ส่วนประเด็นที่ขั้นตอนทางอาญาไปไวกว่า ป.ป.ช.ชี้มูล เเต่ในขั้นตอนวินัยยังไม่มีการสั่งพักราชการอัยการรายนี้ในระหว่างถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนั้น นายประยุทธ กล่าวว่า เนื่องจากกฎหมายอัยการจะต้องตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หรือกรรมการชั้นต้นก่อนที่จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของกรรมการชั้นต้น โดยชั้นนี้กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจสั่งพักราชการ แต่ทางอัยการสูงสุดคนปัจจุบันได้เสนอว่ากรณีความผิดชัดเเจ้งไม่จำเป็นต้องสอบวินัยชั้นต้นให้สอบวินัยร้ายเเรงได้เลย ตรงนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ทางอัยการสูงสุดเห็นสภาพปัญหา แต่ถ้าหากรองอธิบดีอัยการคนดังกล่าวถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อไหร่ ก็จะถือว่าเป็นมูลที่จะถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่จะสามารถถูกสั่งพักราชการได้ทันที ดังนั้น ต้องดูเป็นเรื่อง ๆ ไป ส่วนจะยื่นฟ้องทันในยุคอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน หรือไม่ตนไม่ขอให้ความเห็น