ครม. เคาะแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบางเริ่ม 25 ก.ย.

วันที่ 17 ก.ย. 2567 เวลา 16:43 น.

ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ครม.แพทองธาร 1 ประชุม ครม.นัดแรกอย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีมาประชุมพร้อมเพรียง พร้อมมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 แจกเงินสด 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบาง 25-30 กันยายนนี้ พร้อมยืนยันเดินหน้าแจกดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ต่อไป  ครม.เคาะแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบางเริ่ม 25 ก.ย. วันนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการประชุม ครม.แพทองธาร 1 นัดแรก อย่างเป็นทางการ โดยการประชุมวันเดียวกันนี้ ครม.เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ไม่มีรัฐมนตรีลาประชุมแม้แต่คนเดียว หลังการประชุม ครม. นางสาวแพทองธาร เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม.เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 12.4 ล้านคน และผู้พิการ 2.15 ล้านคน เป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยใช้งบประมาณวงเงินรวม 145,552.40 ล้านบาท เริ่มทยอยจ่ายเงินวันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป ยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ขณะที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำทีมกระทรวงการคลัง ตั้งโต๊ะแถลงรายละเอียดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายสำคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อ เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว โดยเงินจะถึงพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่มีบัตรสวัสดิการรัฐภายในเดือนนี้ ประมาณ 14.5 ล้านคน แบ่งจ่าย 4 วัน วันที่ 25-30 กันยายน แบ่งเป็นวันที่ 25 กันยายน โอนเข้าบัญชีผู้พิการ และผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วย 0 วันที่ 26 กันยายน ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 1,2,3 วันที่ 27 กันยายน ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4,5,6,7 วันที่ 30 กันยายน ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 8,9  นายพิชัย ยืนยันว่า จะมีการแจกเงินให้กับประชาชนในเฟส 2 ต่อไป เพราะมีการลงทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะจ่ายในรูปแบบดิจิทัล 100% หรือไม่ วันนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้งว่าจะจ่ายอย่างไร เมื่อไร และวิธีไหน จุลพันธ์ โอนเงินซ้ำ 3 ครั้ง ถ้าไม่ผ่านยุติจ่ายเงิน ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระบวนการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ให้กลุ่มเปราะบางนั้น หากใครที่บัญชีมีปัญหา คือ พอถึงวันโอน 25-30 กันยายน 2567 แล้วโอนไม่ผ่าน จะมีการโอนซ้ำให้กลุ่มเป้าหมายอีก 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567, ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567, ครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการโอนซ้ำครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ พร้อมย้ำว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารใหม่เพื่อผูกพร้อมเพย์ สามารถใช้บัญชีเดิมที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันของธนาคารอะไรก็ได้ ไปผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประชาชน นายจุลพันธ์ บอกว่า ในที่ประชุม ครม.ยังมีการพูดถึงโครงการในอนาคต เช่น ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้ลงทะเบียนไว้จะต้องได้รับการพิจารณาเป็นกลุ่มถัดไป แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ยืนยันว่าจะแจกเงิน 10,000 บาทเหมือนเดิม นายจุลพันธ์ ได้แจ้งเตือนประชาชนว่า หลังจากนี้ทางรัฐจะไม่มีการส่งลิงก์อะไรให้กด ไม่มีการให้ลงทะเบียนอะไรเพิ่มเติมอีก และจะไม่มีการติดต่อจากภาครัฐ จึงขอให้ระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพ หากท่านอยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินในเฟสแรกแล้ว และจะไม่ได้รับเงินซ้ำในเฟส 2 อีก เผยคนไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กว่า 2 ล้าน ทั้งนี้ จากข้อมูลก่อนหน้านี้ ของนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง บอกว่า ขณะนี้มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ 13.5 ล้านคน มีคนที่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ บัตรประชาชนเสร็จแล้วประมาณกว่า 11 ล้านคน และยังไม่ได้มีบัญชีผูกพร้อมเพย์บัตรประชาชนกว่า 2 ล้านคน   สำหรับช่องทางในการผูกพร้อมเพย์นี้ ทำได้โดย 3 ช่องทาง คือ 1.ไปติดต่อกับสาขาธนาคารที่มีบัญชีไว้ 2.ผ่านตู้เอทีเอ็ม 3.ผ่านโมบายแบงก์กิง เมื่อมีการโอนเงินสดเข้าไปแล้ว ผู้ใช้ก็สามารถถอนออกมาใช้ได้เลย จึงขอให้เร่งไปทำพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนให้เร็วที่สุดเพื่อให้ได้รับเงินได้ตามกำหนด เพราะถ้าทำไม่ทันจะต้องรอรับเงินในรอบถัดไป แต่ช้าสุดจะต้องไม่เกินวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ไม่เช่นนั้นเงินจะถูกโอนกลับเข้าคืนรัฐ ส่วนยอดผู้ลงทะเบียนที่ได้ปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2567 พบยอดผู้ลงทะเบียนทั้งหมดกว่า 36 ล้านคน คาดว่าผู้เข้าโครงการจะไม่เกิน 40 ล้านคน วราวุธ ยันผู้พิการไม่ต้องลงทะเบียน ขณะที่ในส่วนของผู้พิการที่จะได้รับการโอนเงิน 10,000 บาทในวันที่ 25 กันยายนนี้นั้น นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยืนยันว่า ผู้พิการไม่ต้องไปลงทะเบียน หรือ ผูกพร้อมเพย์ใหม่ เพราะกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เรามีฐานข้อมูลของผู้พิการทุกอย่างแล้ว ซึ่งในขณะนี้ มีผู้พิการอยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าคน และคนพิการก็จะมีบัตรคนพิการที่ลงทะเบียนกันเรียบร้อยแล้ว แล้วมีบัญชีที่ผูกกับบัตรนี้อยู่แล้ว ประเสริฐ ยันดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ไม่ล้ม ส่วนคนที่เป็นห่วงว่า เงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 จะล้มหรือเปล่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยืนยันว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 จะไม่ล้ม ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงอยากให้รอดูการทำงานของคณะทำงานก่อนว่า มีนโยบายอย่างไรต่อ คิดว่าก่อนสิ้นปีงบประมาณน่าจะมีข่าวดีให้ประชาชน แต่งตั้ง จิรายุ นั่งที่ปรึกษานายกฯ ส่วนที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะข้าราชการการเมือง เนื่องจากทั้งหมดอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ ถือเป็นครั้งแรกที่มีความเข้มงวดในสัดส่วนของข้าราชการการเมือง ที่จัดตรวจถึง 5 หน่วยงาน ซึ่งจะตรวจเข้ม เช่นเดียวกับรัฐมนตรี แต่วันนี้ นางสาวแพทองธาร ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของรัฐบาล และอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย นายจิรายุ ยังถือเป็นตัวเต็งที่มีชื่อถูกเสนอให้นั่งตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย มติ ครม.คงภาษี VAT 7% อีก 1 ปี หลังได้รับการแต่งตั้ง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ทันที ด้วยการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ที่ประชุม ครม.ได้พูดคุยถึงการคงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่กำลังสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า จะมีการขึ้นเป็น 11% เเต่ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้คงตามมติเดิมอยู่ที่ 7% ซึ่งถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชน และภาคธุรกิจออกไปอีก 1 ปี ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567- 30 กันยายน 2568