มีอยู่จริง ตำรวจ แจ้งความถูก อดีต ผกก. บุกรุก ผ่านไป 1 ปีคดีไม่คืบ

วันที่ 12 ส.ค. 2567 เวลา 16:03 น.

โดนซะเอง ตำรวจ สอท. ร้องสื่อ ถูกนายตำรวจนอกราชการยศ พ.ต.อ. บุกรุกที่ ปักเสาล้อมรั้วขึ้นป้าย ไปแจ้ความเริ่มแรก ตำรวจทำทีอิดออด พอรู้เป็นนายตำรวจ จำใจรับแจ้ง ผ่านไป 1 ปี คดียังไม่คืบ วันนี้ (12 ส.ค.67) ที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เสือทอง รอง ผกก.(สอบสวน) กก.4 บก.สอท.5 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว หลังแจ้งความอดีต ผกก. บุกรุกที่ แต่คดีไม่คืบ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในการทำหน้าที่ของตำรวจผู้ที่จะต้องคอยดูแลความเดือดร้อนของประชาชนตามกฎหมาย โดยได้นำผู้สื่อข่าวไปยังแปลงที่ดินริมเส้นทางขึ้นน้ำตกเสม็ดชุน หมู่ 7 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่รวมประมาณ 30 ไร่เศษ ซึ่งเป็นแปลงที่ดินทำกินของบรรพบุรุษตกทอดมาถึงบิดา และปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ และน้องสาว เป็นที่ดินครอบครองทำกินปลูกทุเรียน มังคุด ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว มีสมุดเกษตรกรกำกับไว้เช่นเดียวกับที่ดินในย่านนี้ พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เล่าว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ส.ค.66 มีนายตำรวจนอกราชการยศ พ.ต.อ. เป็นอดีตผู้กำกับอ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเขา โดยพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีการลอบนำเอาเสาปูนรั้วลวดหนามมาปักยึด และขึ้นป้ายอ้างนายตำรวจชั้นยศพ พ.ต.อ. 1 คน พล.ต.ต. 2 คน ทั้งที่ครอบครัวตนทำกินมายาวนานก่อนรุ่นพ่อจนมาถึงรุ่นพ่อและตกทอดมาถึงพี่น้องในครอบครัว โดยมีตนเองและน้องสาวเป็นผู้ครอบครองทำกินมาต่อเนื่อง เข้าใจว่านายตำรวจรายนี้มาซื้อที่ดินแปลง นส.3 ก ที่อยู่แนวลำห้วยสาธารณะฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีแนวเขตแผนที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่กลับอ้างครอบครองล้ำข้ามมาจนเกิดข้อพิพาทกับตน โดยตนไปแจ้งความถึง 3 ครั้ง คือร่วมกันบุกรุก 2 คดี และลักทรัพย์ผลอาสิน 1 คดี นับแต่ส.ค.66 จนมาครบส.ค.67 ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ แรกเริ่มไปแจ้งความ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจอิดออดบ่ายเบี่ยงไม่รับแจ้ง จึงบอกว่าหากไม่รับแจ้งให้บันทึกว่าไม่รับแจ้ง แต่ท้ายที่สุดเมื่อรู้ว่าเป็นตำรวจด้วยกันจึงรับแจ้ง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยละเอียดตามวิสัย จนกระทั่งแจ้งความครั้งที่ 2 เป็นไปในทำนองเดียวกัน ทั้งการสอบสวน สอบพยานเป็นไปอย่างล่าช้ามาก และครั้งที่ 3 มีการบุกรุกอีกถึงขั้นเอาคนงานมาเก็บเอาทุเรียนไปเป็นจำนวนมากและผลอาสินอื่น ๆ มีการแจ้งความอีก แต่ก็ยังไม่ดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรม นี่ขนาดว่าเป็นตำรวจด้วยกัน พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ยังระบุด้วยว่า การทำคดีนั้นทางตำรวจควรทำไปตามข้อเท็จจริงตั้งต้นในการพิพาท ที่เหลือเป็นการต่อสู้กันในทางคดีตามพยานหลักฐานขั้นตอนศาลให้เป็นที่สุดไม่ควรล่าช้า เรื่องนี้มีการแทรกแซงหรือไม่ ตนไม่อาจรู้ได้ แต่ส่วนตัวได้ร้องเรียนไปยังจเรตำรวจเรียบร้อยแล้ว และทางจเรส่งเรื่องกลับมาที่ตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช นายตำรวจระดับรองผู้บังคับการแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่ามูลคดีความผิดทางอาญายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะที่เป็นพนักงานสอบสวนจึงต้องตั้งคำถามว่าหากอ้างเหตุเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มีการแสวงหาพยานหลักฐานใด ๆ เพิ่มให้สิ้นกระแสในชั้นพนักงานสอบสวน นี่ขนาดเป็นตำรวจด้วยกันยังเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงประชาชนทั่วไปเลย จะเป็นอย่างไรการเปิดเผยข้อมูลนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นอะไรได้อีกหลายอย่าง ประชาชนเดือดร้อนจะพึ่งพาความเป็นธรรมได้จากใคร