คดีเกาะรถยนต์ คนขับอ้าง ตกใจ ไม่มีใบขับขี่กลัวถูกทำร้ายเลยขับรถต่อ ทั้งๆที่มีคนเกาะหน้ารถ
วันที่ 30 ก.ค. 2567 เวลา 16:53 น.
ตำรวจนัดคู่กรณีคดีเกาะรถยนต์มาสอบปากคำ ทันทีที่ทั้งคู่เจอหน้ากัน หญิงขับรถเก๋งยกมือไหว้ ตำรวจสอบปากคำนาน 3 ชม. ยืนยัน ไม่ได้เสพยาเสพติด แต่วันนั้นตกใจ เพราะไม่มีใบขับขี่ กังวลว่าหากลงไปคุยจะเกิดอันตรายกับตัวเอง จึงเลือกที่จะขับรถไปต่อถึงแม้ว่าคู่กรณีจะกระโดดเกาะฝากระโปรงหน้ารถก็ตาม จากกรณีที่ ไรเดอร์คนหนึ่ง ขี่รถจักรยานยนต์ไปเจอผู้หญิงเกาะอยู่บนกระโปรงรถเก๋งสีขาว ที่ขับมาด้วยความเร็ว ซึ่งผู้หญิงคนดังกล่าวร้องตะโกนว่า ช่วยด้วย สร้างความตกใจให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมาก กลุ่มไรเดอร์ช่วยกันบีบแตรเสียงดังลั่นถนน พร้อมขี่รถไปล้อมรถเก๋ง เพื่อให้คนขับหยุดรถลงมาคุยกันดี ๆ ปรากฏว่า คนขับที่ลงจากรถเก๋ง เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอบอกไม่ได้ขับชนใคร แต่ผู้หญิงที่เกาะกระโปรงรถ ยืนยันว่าขับชนแล้วหนี มีหลักฐานร่องรอยการชนชัดเจน ก่อนบอกให้ไรเดอร์ดึงกุญแจรถเก๋ง เพราะกลัวคนขับรถหลบหนี และก็หนีจริง ๆ ล่าสุด 30 กรกฎาคม 2567 พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ได้นัดหมายให้คุณเปิ้ล และนางสาวพร คู่กรณีคดีเกาะรถยนต์มาสอบปากคำ หลังสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง นางสาวพร อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์ในวันที่เกิดเหตุ ได้ชี้แจงกับทีมข่าวว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เฉี่ยวชนกันที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลราชวิถี ตนไม่ไม่รู้เรื่อง และมารู้อีกทีตอนที่คุณเปิ้ลตะโกนบอก ซึ่งตนก็พยายามโบกมือให้คู่กรณีชิดซ้ายเพื่อจอดมาพูดคุยกัน แต่ขณะนั้นพลก็มีความคิดแทรกเข้ามาในหัวว่า ตนไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และกังวลว่าถ้าหากลงไปพูดคุยจะเกิดอันตรายกับตน ทำให้ตนเองเลือกที่จะขับรถยนต์ไปต่อถึงแม้ว่าคู่กรณีจะกระโดดเกาะฝากระโปรงหน้ารถก็ตาม ดูในระหว่างทางที่ขับรถวันนั้นตนก็ยอมรับว่าเกิดอาการกลัวเป็นอย่างมาก เพราะตนไม่ใช่คนในพื้นที่ หลังจากมีการนำเสนอข่าวออกไป เช้าวันรุ่งขึ้น (พฤหัสบดี 25/7/67) ตนเองก็มีความตั้งใจจะมาพบตำรวจ แต่ขณะนั้นมีญาติโทรมาสอบถามตนว่า ได้เตรียมเงินมาใช้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งตนไม่ได้เตรียมเงินมาจึงได้ขับรถกลับไปที่กาญจนบุรี และตนยืนยันว่าตนไม่เคยเสพสารเสพติด และในวันที่เกิดเหตุตนไม่ได้มีอาการมึนเมาสุราแต่อย่างใด ซึ่งในวันนี้ก็ได้มีการตรวจหาสารเสพติดก็ไม่พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย สำหรับวันนี้ทันทีที่ตนได้เจอกับคู่กรณี ก็ได้มีการยกมือไหว้ขอโทษ แต่เข้าใจว่าคู่กรณีน่าจะอยู่ในอารมณ์ที่โกรธอยู่ จึงไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันมาก อยากจะขอโทษคู่กรณี และขอโทษสังคมกับสิ่งที่ตนทำไป ขณะที่นายเต้ อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ก่อนหน้านี้นางสาวพรได้มาขอยืมรถไปใช้ตามปกติ เหมือนที่เคยยืมไปใช้อยู่บ่อยครั้ง โดยนางสาวพรบอกว่าครั้งนี้จะมายืมรถไปสมัครงาน และหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ ซึ่งตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ทันทีที่นางสาวพรขับรถกลับมาถึงบ้าน ตนก็รู้สึกตกใจว่าทำไมรถของตนถึงเกิดความเสียหาย จึงได้มีการสอบถามพูดคุยกัน ซึ่งตนก็เข้าใจนางสาวพร เพราะโดยปกติแล้วนางสาวพรเป็นคนขี้กลัว และขี้ตกใจเป็นอย่างมาก ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าตนหนีไฟแนนซ์นั้น นายเต้ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ส่วนเรื่องที่รถยนต์ของตนไม่ได้ต่อ พ.ร.บ. มานานกว่า 3 ปี ตนก็ยอมรับในเรื่องนี้ พร้อมกับอ้างว่าไม่ค่อยมีเวลา และไม่ค่อยใช้รถยนต์ จึงทำให้ไม่ทราบว่า พ.ร.บ. หมดอายุนานแล้ว เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ได้มีการแจ้ง 3 ข้อกล่าวหา คือ ชนแล้วหนี, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น, และข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งผู้ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ก่อนจะให้ประกันตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ เนื่องจากผู้ต้องหาเดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง โดยหลังจากนี้จะนัดวันให้ผู้ต้องหามาพบเพื่อส่งฟ้องศาลฯ ต่อไป ส่วนคดีจราจรนั้นก็ได้มีการปรับเป็นพินัยไปแล้ว