ยากจนขโมยลูกชิ้น ฟังอีกด้าน เจ้าของร้านทัวร์ลงหนักทั้งที่เป็นผู้เสียหาย

วันที่ 12 ก.ค. 2567 เวลา 18:06 น.

เจ้าของร้านลูกชิ้นเปิดใจหลังรู้ว่าคนขโมยยากจน ก็ขอถอนแจ้งความ แต่ ตร.บอกเป็นคดีอาญาแผ่นดินถอนแจ้งความไม่ได้ เศร้านำเสนอข้อมูลฝ่ายเดียว ทำให้ร้านโดนทัวร์ลงหนัก กระทบสภาพจิตใจ ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย ความคืบหน้ากรณียากจนขโมยยกถุงลูกชิ้นบุรีรัมย์ จากกรณีที่นายบุญเที่ยง อายุ 50 ปี ชาวบ้านโนนแดง ต.หนองกะทิง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ถูกตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ จับกุมในข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 พ.ค.67 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 21.39 น. กระทั่งต่อมาทราบว่า ลูกชิ้นที่นายบุญเที่ยงขโมยไปนั้น เอาไปทอดให้ครอบครัวกิน ส่วนหนึ่งเอาไปแบ่งให้พ่อแม่ที่แก่ชรา อายุ 88 ปี และ 89 ปี ซึ่งฐานะยากจน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ป่วยติดเตียง  ต่อมามีการนำเสนอข่าวว่าพนักงานสอบสวนจำใจต้องสรุปสำนวนและนำผู้ต้องหาส่งอัยการตามขั้นตอน ทำให้โซเชียลต่างวิพากวิจารณ์ ต่อว่าเจ้าของร้านลูกชิ้นเป็นจำนวนมาก  อาทิ ใจดำบ้าง เพราะมูลค่าลูกชิ้นที่ถูกขโมยไปเพียง 300 บาท ทำไมต้องแจ้งความดำเนินคดี บางคอมเมนต์ถึงขั้นบอกว่าจะไม่อุดหนุนลูกชิ้นร้านนี้อีก    ล่าสุดวันนี้ (12 ก.ค.67)  น.ส.ณิชชาวีณ์ เจ้าของร้านลูกชิ้นที่ถูกขโมยและเป็นผู้เสียหายในคดี ออกมาเปิดใจและชี้แจงว่า ในวันเกิดเหตุลูกค้าสั่งซื้อลูกชิ้น 2 ถุง โดยจ่ายเงินให้กับทางร้านแล้ว จึงได้วางถุงลูกชิ้นไว้ให้ลูกค้าบนโต๊ะหน้าร้าน เพราะลูกค้าจะมารับเพื่อนำไปทอดขายในเวลากลางคืน แต่เมื่อลูกค้ามารับเหลือลูกชิ้นแค่ถุงเดียว เมื่อทางร้านเปิดกล้องวงจรปิดดู พบว่ามีผู้ชายขี่รถจักรยานยนต์มาจอดแล้วขโมยยกถุงลูกชิ้นราคา 300 บาทไป วันที่ 25 พ.ค.67 จึงนำหลักฐานไปแจ้งความที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์  โดยไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร มีฐานะอย่างไร  ต่อมาช่วงบ่ายวันที่ 25 พ.ค.67 ตำรวจชุดสืบสวนแจ้งว่าสามารถจับกุมตัวคนที่ขโมยลูกชิ้นได้แล้ว  ให้ไปชี้ตัวที่โรงพัก ซึ่งตำรวจชุดสืบบอกว่า ตอนไปจับกุมเห็นสภาพบ้านของผู้ก่อเหตุยากจนมาก พร้อมกับเอารูปถ่ายให้ดู เมื่อเห็นสภาพผู้ก่อเหตุก็รู้สึกสงสารไม่อยากเอาเรื่อง ได้แจ้งกับร้อยเวรฯ ไปว่าขอถอนแจ้งความ ตอนนั้นคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ต่อมาร้อยเวรฯ โทร. มาแจ้งว่าถอนแจ้งความไม่ได้ เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน และเกรงจะไปก่อเหตุอีก ตำรวจก็จะโดนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ดังนั้นตำรวจจึงต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน  กระทั่งมีการนำเสนอข่าวว่า ตำรวจนำสำนวนและผู้ต้องหาส่งอัยการ โดยไม่มีข้อมูลของทางร้าน ทำให้โดนทัวร์ลง ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งต่อการค้าขายและสภาพจิตใจ ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย จึงอยากให้สื่อนำเสนอให้รอบด้าน เช่นเดียวผู้ที่ติดตามข่าวในโซเชียลให้ฟังข้อมูลก่อนคอมเมนต์  ขอให้เห็นใจทางร้านด้วย  เพราะการค้าขายก็มีต้นทุน ที่ผ่านมาทางร้านก็ร่วมกับญาติพี่น้องตอบแทนสังคม ด้วยการจัดโรงทานเลี้ยงผู้ยากไร้เป็นประจำทุกปี