เร่งตรวจสอบ พบพิรุธก่อนเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง ล่องหน

วันที่ 14 มิ.ย. 2567 เวลา 07:05 น.

สนามข่าว 7 สี - ตามกันต่อกับปมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำ ถูกยึดเป็นของกลางในคดี (บรรทุกน้ำมันรวมกว่า 300,000 ลิตร) ล่องหนหายไปอย่างง่ายดาย เรื่องนี้สะเทือนถึงขั้นมีคำสั่งเด้ง 5 ตำรวจน้ำ ที่บกพร่องในหน้าที่แล้ว และเตรียมออกหมายจับลูกเรือทั้ง 3 ลำ 18 คน ที่นำเรือของกลางหลบหนีมาดำเนินคดีด้วย เร่งตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมันของกลาง ล่องหน ไปดูภาพที่เจ้าหน้าที่ได้จากกล้องวงจรปิด รายงานความผิดปกติ แสงไฟที่ดับหายไป หลังจากตำรวจน้ำนำเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 หลัง ออกห่างชายท่าเทียบเรือ 100 เมตร โดยมีการบันทึกภาพขณะเกิดคลื่นลมแรงในทะเล มีความเสี่ยงอาจทำให้ของกลางในคดีได้รับความเสียหาย   ขณะที่เมื่อวานนี้ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงพื้นที่ไปดูจุดเกิดเหตุ ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พบพิรุธหลายข้อที่ว่า ทำไมเรือบรรทุกของกลางจอดอยู่ด้วยกัน 5 ลำ แต่หายไปเพียง 3 ลำ ซึ่งตามข้อมูลเชิงลึก เรือ 3 ลำ ที่หาย เป็นเรือบรรทุกน้ำมันที่มีเจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพลเรื่องน้ำมันเถื่อน ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณา 3 ส่วน ได้แก่ ความผิดตำรวจน้ำที่บกพร่องต่อหน้าที่, ความผิดลูกเรือ 3 ลำ 18 คน และหาสาเหตุแท้จริงว่า ทำไมเรือ 3 ลำ ถึงออกจากท่าไปได้   ทั้งนี้ พบข้อมูลเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 3 ลำ แม้พนักงานสอบสวนจะถอด GPS ไปแล้ว แต่เชื่อว่ากลุ่มคนร้ายยังใช้อุปกรณ์นำทางที่ทันสมัย หรือใช้ความชำนาญส่วนตัว พาหลบหนี แต่จากการตรวจสอบขณะนี้ เชื่อว่าเรือทั้ง 3 ลำ ยังคงอยู่ในอ่าวไทย (ยังไปไม่ถึงประเทศเพื่อนบ้านตามกระแสข่าว) เพราะเรือบรรทุกน้ำมันอยู่กว่า 300,000 ลิตร จึงใช้ความเร็วได้ไม่มาก หากต้องไปไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง สั่งเด้งตำรวจน้ำ เซ่นเรือบรรทุกน้ำมันของกลางหาย นอกจากนี้ จากการสอบสวนตำรวจเวร 2 นาย พบมีการปล่อยปละละเลย ไม่เข้มงวดดูแลเรือของกลาง เบื้องต้น มีคำสั่งเด้งตำรวจน้ำเซ่นกรณีเรือของกลางหาย รวม 5 นาย ที่มีส่วนรับผิดชอบให้ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่ต่อมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีคำสั่งถอนชื่อข้าราชการที่ถูกสั่งเด้ง 1 นาย (พ.ต.ท.อาจินต์ รอง ผกก.5 กองบังคับการตำรวจน้ำ) เนื่องจากอยู่ระหว่างไปปฏิบัติราชการที่สหรัฐอเมริกา จึงไม่มีเหตุในการสั่งให้ข้าราชการตำรวจนายนี้ไปช่วยข้าราชการ เปิดประวัติ เสี่ยโจ้ สำหรับประวัติ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ "เสี่ยโจ้ ปัตตานี" เจ้าพ่อค้าน้ำมันเถื่อนอ่าวไทย เริ่มเข้าสู่วงการค้าน้ำมันเถื่อนตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งจากข้อมูลคำเบิกความในชั้นศาลของพยานหลายคนในคดีฟอกเงินภรรยาเสี่ยโจ้ พบว่าในปี 2553-2554 มีรายได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนกับประเทศเพื่อนบ้านเดือนละ 200-300 ล้านบาท แต่หากนับเงินหมุนเวียนในเครือข่ายทั้งหมดจะมีเงินรวมกว่า 108,000 ล้านบาท ต่อมาในปี 2557 สมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กอ.รมน ภาค 4 ส่วนหน้า นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้าน "เสี่ยโจ้" และเครือข่ายในจังหวัดปัตตานี พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเถื่อนและการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก "เสี่ยโจ้" โดนดำเนินคดีอีกหลายข้อหา แต่ในปลายปีเดียวกันมีอดีตตำรวจนายหนึ่งพาหนีออกจากที่คุมขังศาล ระหว่างที่กำลังรอฟังคำพิพากษา ก่อนหลบหนีไปกบดานต่างประเทศ แต่อยู่ ๆ "เสี่ยโจ้" ก็แอบย่องขอเข้ามอบตัวกับตำรวจในปี 2560 และ 2561 พบมีหมายจับค้างเก่าตั้งแต่ปี 2544 จนถึงขณะนั้นรวม 14 คดี แต่ที่น่าประหลาดใจ คือ 7 คดี ขาดอายุความ เพราะไปติดค้างอยู่ในชั้นอัยการ แถมมีบางคดีถูกถอนหมายจับ จึงทำให้ "เสี่ยโจ้" ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ  กระทั่งปี 2564 "เสี่ยโจ้" ถูกจับอีกครั้ง หลังตำรวจสอบสวนกลางถือหมายจับค้างเก่าคดีไม้เถื่อน และ คดีฟอกเงินน้ำมันเถื่อน แต่หลังจากส่งตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีที่ จังหวัดปัตตานี กลับต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะหมายจับคดีไม้เถื่อนถูกถอนฟ้องเพียงข้ามคืน   ตามข้อมูลสืบสวนเชิงลึก เรือทั้ง 3 ลำ ที่หายไปอาจเป็นเครือข่ายของ "โจ้ น้ำมันเถื่อน" หรือ "โจ้ ปัตตานี" หนึ่งในขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ ทาง พันตำรวจโท นิวัติ เฉ่งไล่ สารวัตรสถานีตำรวจน้ำปัตตานี เปิดเผยกับทีมสนามข่าวถึงมาตรการการป้องกันปราบปรามของตำรวจน้ำปัตตานี โดยตามปกติแล้วจะออกตรวจและสืบสวนหาข่าวจากเรือในพื้นที่เป็นปกติอยู่แล้ว แต่จากเหตุที่เกิดขึ้นได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเรือต้องสงสัย รวมถึงบุคคลที่อาจมีส่วนสนับสนุนการกระทำความผิด