ผู้ผลิตอาหารสัตว์ จี้ รัฐทำลายวงจรอุบาทว์ กักตุน-ปั่นราคาข้าวโพด ทำห่วงโซ่อาหารระส่ำ

วันที่ 31 พ.ค. 2567 เวลา 19:34 น.

ผู้ผลิตอาหารสัตว์เดือด จี้รัฐทำลาย วงจรอุบาทว์ข้าวโพดไทย ชี้ มีมาเฟีย กักตุน-ข่มขู่-ปั่นราคาข้าวโพดพุ่ง กก.ละกว่า 13 บาท หวั่นเกษตรกรตายยกประเทศ วันนี้ (31 พ.ค.67) นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า มีสมาชิกร้องเรียนเข้ามาจำนวนมากถึงความยากลำบากในการหาซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีการกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเรียกร้องขยับราคาให้สูงขึ้น มีเป้าสูงกว่า 13 บาท/กก. จากปกติควรจะอยู่ที่ 11 บาท/กก. ซ้ำยังขู่ไม่ส่งข้าวโพดเข้าโรงงาน ระบุโรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากถูกมัดมือมัดเท้าจากมาตรการรัฐหลายมาตรการ จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่สุดไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ “การกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เกิดผลประโยชน์กับกลุ่มพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แม้แต่บาทเดียว เพราะผลผลิตข้าวโพดทั้งหมดอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางหมดแล้ว ราคาข้าวโพดที่ขยับขึ้นแค่กิโลกรัมละ 1 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะธุรกิจอาหารสัตว์ขาดทุนสะสมและมีการปิดโรงงาน ขายกิจการไปแล้วหลายแห่ง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ก็ขาดทุนและเลิกเลี้ยงกันไปจนนับไม่ถ้วน” นายพรศิลป์กล่าว ทั้งนี้ สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้าคนกลางสามารถกักตุนข้าวโพด เพื่อเก็งกำไรได้มีหลายประการ คือ 1.ผลผลิตข้าวโพดไทยมีแนวโน้มลดลง และจะออกสู่ตลาดอีกครั้งกลางเดือนก.ย. ช่วงนี้จึงเข้าสู่ภาวะขาดแคลนวัตถุดิบยาวนานกว่า 3 เดือน เปิดโอกาสให้มีการกักตุนสินค้า 2.โรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน เพราะถูกบีบด้วย “มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน” ด้วยข้อกำหนดให้ซื้อข้าวโพดภายในประเทศก่อน เพื่อนำไปใช้แลกนำเข้าข้าวสาลี แต่โรงงานไม่มีข้าวโพดเพียงพอ จึงเท่ากับถูกบังคับให้ซื้อข้าวโพดจากพ่อค้าในราคาที่เขาต้องการก่อน เป็นสาเหตุหลักให้พ่อค้าชะลอการส่งข้าวโพดเข้าโรงงาน เพื่อดึงราคาให้สูงขึ้นอีก 3. ราคาวัตถุดิบทดแทนปรับตัวสูงขึ้น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ค่าระวางเรือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว รวมถึงสถานการณ์เพาะปลูกข้าวสาลีที่มีแนวโน้มลดน้อยลง ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีนำเข้าอยู่ที่ 12 บาท/กก. พ่อค้าคนกลางทราบถึงสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จึงตั้งราคาขายข้าวโพดไว้ที่ 13 บาท/กก. สูงกว่าราคานำเข้าข้าวสาลี เพราะหากไม่ซื้อข้าวโพดก่อนก็ไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ และ 4.จากนโยบายรัฐที่มุ่งแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงเกษตรฯ ผลักดันการหยุดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยขานรับและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ทำให้พ่อค้าเร่งทำการกักตุนข้าวโพด เพราะรู้ดีว่าข้าวโพดที่โรงงานจะรับซื้อได้นั้น จะมีปริมาณลดน้อยลง เพราะไม่สามารถซื้อข้าวโพดที่ผ่านการเผาแปลงได้ สำหรับทางออกเพื่อหยุดพฤติกรรมกักตุน นายพรศิลป์ ระบุว่า การแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดคือ กระทรวงพาณิชย์ต้องปลดล็อกมาตรการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วนในทันที เพื่อให้มีปริมาณข้าวสาลีเข้ามาเป็นทางเลือก คลายความกดดันในด้านปริมาณที่ขาด และลดสิ่งที่เอื้อให้พ่อค้าคนกลางทำการกักตุนเก็งกำไร แม้ราคาข้าวสาลีตอนนี้จะสูงถึง 12 บาท/กก. ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้า มิฉะนั้นจะไม่มีวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิต ย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ “ทันที” เพื่อไม่ให้สายพานการผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ ต้องพิจารณาปลดมาตรการนำเข้าอื่น ๆ โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO เพื่อรองรับนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดที่ซื้อขายในระบบหายไปกว่า 2 ล้านตันด้วย  “หากยังปล่อยให้สถานการณ์กักตุนนี้ยืดเยื้อต่อไป จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งระบบ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไม่สามารถประกอบอาชีพต่อได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่ขาดทุนมาก่อนหน้าจากต้นทุนสูง และจากปัญหาหมูเถื่อน ที่สุดแล้วเศรษฐกิจชาติจะพังไม่เป็นท่า ไม่คุ้มเลยถ้าจะมัวอุ้มกลุ่มพ่อค้าคนกลางกลุ่มเดียวแบบนี้” นายพรศิลป์ กล่าว