เด็ก 14 ให้ปากคำ เอาผิดหมอเหรียญทอง
วันที่ 15 พ.ค. 2567 เวลา 13:24 น.
ทนายรัชพลพาเด็ก 14 โดนหมอเหรียญทองตบให้ปากคำเพิ่มเติม เอาผิด 5 ข้อหา สูบบุหรี่ผิดจริงแต่ไม่มีสิทธิใช้อำนาจเกินขอบเขต เด็กชายเผยไม่รู้ว่าสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลผิดกฎหมาย วันนี้ (15 พ.ค.67) ทนายรัชพล หรือนายรัชพล ศิริสาคร พร้อม น.ส.กัลยา (แม่) และเด็กชายวัย 14 ปี เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน ตามที่ตำรวจนัด หลังจากเด็กชายถูก พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ทำร้ายร่างกาย และจับเเก้ผ้าไล่ให้ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากสูบบุหรี่ในห้องน้ำชั้น 12 ของโรงพยาบาล เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 พ.ค.67 ทนายรัชพล กล่าวว่า วันนี้ตนจะขอให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบในความผิดที่คู่กรณีได้กระทำต่อเด็กชาย ทั้งหมด 5 ข้อหา ได้เเก่ 1.ทำร้ายร่างกาย ผู้อื่นจนทำให้เป็นเหตุให้เกิดการทำร้ายจิตใจ 2.ยักยอกทรัพย์ 3. ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใดหรือไม่กระทำการใดหรือทำให้เกรงกลัวอันตรายและเสรีภาพ 4. กักขังหน่วงเหนี่ยวก และ 5.กระทำอานาจาร โดยจะต้องรอตรวจสอบว่าพนักงานสอบสวนจะพิจารณาให้เข้าข่ายการกระทำความผิด ทั้ง 5 ข้อหานี้หรือไม่ “แม้ผู้เสียหายทำผิดกฎของโรงพยาบาล ก็ควรต้องทำตามกฏหมาย ซึ่งกฎหมายก็มีบทลงโทษอยู่ ไม่ควรที่จะตัดสินหรือลงโทษเอง และไม่ใช่เห็นว่า ผู้เสียหายมารักษาฟรีแล้วจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำนอกเหนือกฎหมาย ใช้ อำนาจเกินขอบเขต ทนายรัชพล ยอมรับว่า ฝ่ายคู่กรณีมีความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะได้ออกมายอมรับกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่ตนยังไม่ได้ติดต่อจากคู่กรณี เพราะอีกฝ่ายไม่อยากเจรจา ในส่วนของการตรวจร่างกายเด็กชายนั้น เเม่ของเด็กได้พาไปตรวจมาแล้ว อยู่ระหว่างรอผลตรวจ แม่ของเด็กชาย วัย 14 ปี กล่าวขอโทษและยอมรับกับสิ่งที่ลูกชายได้ทำลงไป ลูกชายสูบบุหรี่ในห้องน้ำจริง แต่สิ่งที่คู่กรณีทำกับลูกชาย ถือว่าเกินกว่าเหตุ แม่เองก็ไม่เคยกระทำกับลูกแบบนี้มาก่อน และทางคู่กรณียังไม่ได้มีการติดต่อมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่ก็ยืนยันว่าแม้จะมีการขอโทษ ก็จะยังดำเนินคดีให้ถึงที่สุด “ลูกหนูก็ไม่ใช่คนดี สิ่งที่เขาทำผิดหนูก็ยอบรับแต่สิ่งพวกคุณทำผิดก็ต้องยอมรับด้วย” น.ส.กัลยา กล่าว ด.ช.เอ (นามสมมุติ) เด็กชายผู้เสียหาย กล่าวว่า ไม่รู้มาก่อนว่าการสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลผิดกฎหมาย ในส่วนที่คู่กรณีโพสต์ว่าตนยกพวกไปขับรถจักรยานยนต์มาก่อกวนที่โรงพยาบาลหลังเกิดเหตุ ยืนยันว่าไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหา มีแต่ไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านแถวนั้น ให้ช่วยติดต่อแม่ให้มารับ ซึ่งแม่ได้นั่งรถแท็กซี่มาพร้อมกับญาติ พร้อมฝากถึงคู่กรณีว่า มีสิทธิอะไรมากระทำเช่นนี้