แจ้งข้อหา 8 ตร.อรัญฯ คลุมถุงดำลุงเปี๊ยก ขีดเส้น 27 พ.ค.นี้ แก้ข้อกล่าวหา
วันที่ 9 พ.ค. 2567 เวลา 15:18 น.
8 ตร.อรัญฯ คลุมถุงดำลุงเปี๊ยก ปฏิเสธข้อกล่าวหา พ.ร.บ.อุ้มหายฯ -ม.157 ดีเอสไอ ขีดเส้น 27 พ.ค.นี้ ส่งคำให้การแก้ข้อกล่าวหา ต้องมาด้วยตัวเอง วันนี้ (9 พ.ค.67) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถ.แจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 9/2567 กรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ พร้อมด้วย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะพนักงานอัยการ และ ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด ร่วมกันจัดเตรียมห้องประชุมและเจ้าหน้าที่ชุดสอบสวน 4 ชุด สำหรับการสอบปากคำและแจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จำนวน 8 นาย โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครบทั้งหมดแล้ว ส่วนสถานที่ที่ใช้ในการสอบปากคำ คือ ห้องประชุม 1 2 3 ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ในห้องสอบปากคำจะมีทั้งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ ซึ่งมีรายงานว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ล้วนขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแทนการให้ปากคำในประเด็นสำคัญ และขออนุญาตเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งในวันที่ 27 พ.ค. นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 8 คนในความผิดตามมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 6 และมาตรา 7 เนื่องจากจับกุมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย แต่ไม่แจ้งต่ออัยการจังหวัดสระแก้ว และนายอำเภออรัญประเทศตามขั้นตอน ซึ่งยืนยันว่าคณะทำงานมีหลักฐานเพียงพอในการแจ้งข้อหา เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 8 คนให้การปฏิเสธ และจะขอทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมาในภายหลัง โดยคณะทำงานได้นัดหมายส่งคำให้การในช่วงเช้าของวันที่ 27 พ.ค.นี้ ซึ่งผู้ต้องหาจะต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง เพราะต้องมีการสอบปากคำผู้ต้องหาเพื่อยืนยันว่าเป็นคำให้การของตัวผู้ต้องหาเอง และนำมาบันทึกลงในสำนวน จากนั้นคณะทำงานก็จะพิจารณาคำชี้แจงและหลักฐานของผู้ต้องหาว่ารับฟังได้หรือไม่ อย่างไร หากรับฟังได้ ก็มีสิทธิ์ที่คณะทำงานจะสั่งไม่ฟ้อง แต่หากหลักฐานที่ชี้แจงมาไม่สามารถหักล้างหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนได้ คณะทำงานก็จะมีความเห็นสั่งฟ้อง และส่งสำนวนให้อธิบดีอัยการ สำนักงานปราบปรามการทุจริตภาค 2 ตามท้องที่เกิดเหตุภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้ ทั้งนี้ หากในวันดังกล่าวผู้ต้องหาไม่เดินทางมา คณะทำงานจะไม่รับคำให้การ เพื่อไม่ให้เกิดการประวิงเวลา หลังแจ้งข้อหาแล้ว พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากผู้ต้องหามีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงไม่มีเหตุให้ต้องนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง หรือต้องยื่นขอประกันตัว สำหรับพฤติการณ์ของผู้กำกับการ สภ.อรัญประเทศ นายวัชรินทร์ ยืนยันว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจนว่าตัว ผกก.สภ.อรัญประเทศ อยู่ที่สถานีตำรวจในวันเกิดเหตุด้วย แต่ไม่ขอลงรายละเอียดในพฤติการณ์ ส่วนตำรวจบางคนที่ไม่ได้เข้าเวร ไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจในวันเกิดเหตุ ก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด ยืนยันคณะทำงานพิจารณาด้วยความเป็นธรรม และยึดตามพยานหลักฐานในทุกมุมมองของลุงเปี๊ยก ซึ่งเป็นผู้เสียหาย รวมถึงกล้องวงจรปิด พยานหลักฐานของฝั่งตำรวจ และพยานแวดล้อมต่างๆ ก่อนจะแจ้งข้อหากับตำรวจนายใด หรือไม่แจ้งข้อหากับตำรวจนายใด ส่วนผู้บังคับบัญชาหากจะเข้าข่ายความผิดได้ ตัวผู้บังคับบัญชาต้องรู้อยู่แล้วว่ามีการกระทำการทรมานเกิดขึ้น มีการอุ้มหายเกิดขึ้น แล้วไม่ระงับเหตุ หรือผู้บังคับบัญชาไม่ดำเนินคดีเมื่อรู้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่คณะทำงานพิจารณาแล้ว สรุปว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาในตำรวจภูธรภาค 2 เพราะมีการดำเนินคดีในภายหลังแล้ว จึงไม่เข้าข่ายความผิด ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าคณะทำงานมีมติแจ้งข้อกล่าวหา 9 คน แต่ในวันนี้เหลือแจ้งข้อหาเพียง 8 คนนั้น 1 คนที่สุดท้ายแล้วคณะทำงานตัดสินใจไม่แจ้งข้อหา คือพนักงานสอบสวน เนื่องจากเจ้าตัวมีพยานหลักฐานมายืนยันภายหลัง และรับฟังได้ว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด เพราะการกระทำความผิดเกิดขึ้นตั้งแต่มีการควบคุมตัวลุงเปี๊ยกไปจนถึงห้องสืบสวน สภ.อรัญประเทศ แต่เมื่อส่งตัวลุงเปี๊ยกให้พนักงานสอบสวนนั้น การกระทำความผิดเกี่ยวกับการทรมานและการอุ้มหายได้จบลงแล้ว