รอลงอาญา 2 ปี 4 จำเลย บุกรุกบ้าน อากู๋ คดีบ้านครอบครองปรปักษ์

วันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 07:19 น.

สนามข่าว 7 สี - คุณผู้ชมจำคดีครอบครองบ้านปรปักษ์ ที่กลับมาเป็นข่าวดังเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ได้ไหม คดีนี้มาถึงชั้นฟังคำพิพากษาของศาลแล้ว และผลลัพธ์ที่ออกมา ก็จะเป็นตัวอย่างให้กับอีกหลาย ๆ คดีที่กำลังมีเรื่องฟ้องร้องอยู่ในขณะนี้ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว คดีนี้มีการนำเสนอเป็นข่าวไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นเริ่มจากที่หลานชาย และสะใภ้ ได้รับของขวัญเป็นบ้านหลังหนึ่งที่ซื้อไว้เมื่อ 30 ปีก่อน แต่เมื่อไปดูบ้านที่อยู่ในซอยรามอินทรา 58 แยก 6 เขตคันนายาว กรุงเทพฯ ปรากฏว่ามีคนเข้าไปอาศัยอยู่ พอถามไปก็ตอบด้วยเหตุผลทื่อ ๆ "เข้าใจว่าเป็นบ้านร้าง" จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็เริ่มมีการฟ้องขับไล่อีกฝ่าย ฝ่ายบุกรุกก็บอกว่าจะยอมถอยแล้ว แต่ก็ยังเป็นประเด็นขึ้นมาอีกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อหลานชายและสะใภ้ กลับเข้าไปดูบ้านแล้วเจอทั้งประกาศเตือน มีการล็อกกุญแจ โดยฝ่ายผู้บุกรุกบอกว่าได้ให้ทนายความยื่นฟ้องครอบครองปรปักษ์แล้ว จึงกลายเป็นข่าวดังขึ้นมา รู้จักกันในชื่อคดี "บ้านครอบครองปรปักษ์" เรื่องบานปลายไปเรื่อย ๆ แรงกดดันถาโถม จากการเจรจาไกล่เกลี่ยกันไม่สำเร็จ ทำให้ 1 ใน 5 ผู้ต้องหา ที่มีการยื่นฟ้องไปเครียดจัด ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปอย่างน่าสลด ทำเอากลุ่มผู้ต้องหาถอดใจ ไม่ขอสู้ต่อ ยอมทำตามเงื่อนไขของเจ้าของบ้าน ทั้งเรื่องการถอนฟ้อง เปลี่ยนทนาย และยอมรับผิด เมื่อจำเลยไม่สู้คดี ศาลอาญามีนบุรี ก็จบกระบวนการยุติธรรมได้ไว นัดฟังคำพิพากษา สรุปว่า จำเลยทั้ง 4 คน เห็นว่า บ้านที่เกิดเหตุไม่มีคนอยู่ จึงเข้าไปรื้อถอน และต่อเติมบ้านเพื่อจะใช้พักอาศัย ภายหลังสำนึกผิดชดใช้เงินให้ผู้เสียหายไป 1 ล้านบาท โจทก์ไม่ติดใจเอาความทั้งแพ่งและอาญาอีก ประกอบกับศาลเห็นว่าจำเลยทั้งหมดมีอายุมาก ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน สมควรให้โอกาสได้ปรับปรุงตัว ความผิดที่ยื่นฟ้องมาศาลลงโทษ 2 ข้อหา ฐานบุกรุกฯ และลักทรัพย์ฯ ลดโทษเหลือจำคุกคนละ 9 เดือน ปรับ 11,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี ส่วนข้อหา "ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์" โจทก์ได้ถอนคำฟ้องไป ปัจจุบัน บ้านหลังนี้ยังคงติดแผ่นป้ายไวนิลเตือนว่า นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต หน้าบ้านล็อกกุญแจไว้ทั้งที่รั้ว และประตูเข้าบ้าน พื้นที่หน้าบ้านโล่ง ไม่มีการนำสิ่งของมาวางแต่อย่างใด