หญิงชาวเมียนมา สุดซ้ำ ถูกกิ๊กของอดีตสามี สาดน้ำกรดจนเสียโฉม และยังราดน้ำกรดใส่ลูกสาววัย 8 เดือนด้วย

วันที่ 28 เม.ย. 2567 เวลา 18:22 น.

หญิงชาวเมียนมา สุดซ้ำ ถูกกิ๊กของอดีตสามีย่องเอาน้ำกรดสาดจนเสียโฉม หนำซ้ำ หญิงผู้ก่อเหตุยังราดน้ำกรดใส่ลูกสาววัย 8 เดือนด้วย จนตาบอด 2 ข้าง ขณะที่ ผู้ก่อเหตุยังลอยนวล 28 เมษายน 2567 นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พาหญิงชาวเมียนมา พร้อมลูกสาวอายุ 8 เดือน จากจังหวัดกาญจนบุรี ร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกกิ๊กเก่าของอดีตสามีแอบย่องเอาน้ำกรดสาดเข้าที่บริเวณใบหน้าระหว่างกำลังอาบน้ำให้ลูก จนเกิดเป็นแผลพุพองตามตัว หูหลุด ใบหน้าเหลวเละผิดรูป หนำซ้ำลูกอายุ 8 เดือนยังถูกน้ำกรดสาดเข้าที่บริเวณใบหน้าเช่นกัน จนตาบอด 2 ข้าง ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมานมานานกว่าหลายเดือน หลังเกิดเรื่องผู้ก่อเหตุยังคงลอยนวลอยู่ แม่เด็กหญิงอายุ 8 เดือน ผู้เสียหาย เล่าว่า เหตุการณ์เกินขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 ระหว่างที่เธอกำลังอาบน้ำให้ลูกอยู่นั้น จู่ๆ ได้มีข้อความจากหญิงรายหนึ่งคาดว่าเป็นกิ๊กใหม่ของสามีเธอ ทักมาถามหาสามีที่นอนอยู่ในบ้าน ก่อนที่ไม่นานหญิงคนดังกล่าวจะแอบย่องเข้ามาเอาน้ำกรดสาดเข้าไปที่บริเวณแผ่นหลังของเธอ ซึ่งตอนแรกเธอพยายามบังไม่ให้น้ำกรดโดนตัวลูกสาว แต่หญิงคนดังกล่าวกลับใช้น้ำกรดสาดซ้ำเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กด้วยทำให้ตาทั้งสองข้างบอดสนิททันที ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ไม่นานสามีก็หนีไปอยู่กับภรรยาใหม่ ทิ้งให้เธอและลูกตกอยู่ในสภาพเหมือนตกนรกทั้งเป็นอย่างทุกข์ทรมาน จากบาดแผลที่พุพองตามร่างกาย โดยตัวของเธอนั้น หูข้างขวาขาด ศรีษะละลายจนเห็นกะโหลกจากพิษของน้ำกรด เธอเล่าพร้อมน้ำตาว่า หากเลือกได้ก็อยากเป็นแทนลูก อยากตายแทนลูก เพราะทนไม่ไหวที่ต้องเห็นลูกร้องไห้จากความเจ็บปวด อีกทั้งโรงพยาบาลยังแจ้งกับเธออีกว่าเด็กจะไม่สามารถเติบโตแบบแนวยาวได้ เพราะมีแผลเป็นตามร่างกาย ซึ่งหากรีบผ่าตัดตอนนี้อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ที่ผ่านมาเธอพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจฝั่งไทยแล้ว แต่คดีกลับเงียบ มีเพียงให้เธอลงบันทึกประจำวันไว้แค่นั้น ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้ จนตัดสินใจส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือกับกัน จอมพลังในวันนี้ เพราะเชื่อว่ากัน จอมพลัง จะช่วยเธอได้ ขณะที่กัน จอมพลัง กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตนรู้สึกหดหู่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าจะช่วยเหลือทั้งแม่และเด็กอย่างถึงที่สุด โดยในวันพรุ่งนี้ตนจะพาทั้งคู่ไปพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย เพื่อขอช่วยเหลือทางคดี และขยายวีซ่าให้ทั้งคู่ในการเข้ารับการรักษาที่ไทย เพราะทราบว่าทั้งแม่และเด็กถือสัญชาติเมียนมาอยู่