คดี บอส อยู่วิทยา พ่นพิษ ลามเอาผิดอดีตตำรวจ-อัยการฯ
วันที่ 28 ก.พ. 2567 เวลา 05:15 น.
เช้าข่าว 7 สี - คดีของ "บอส อยู่วิทยา" พ่นพิษลามถึงอดีต ผบ.ตร. อดีตรองอัยการสูงสุด และผู้มีส่วนในการช่วยกันสร้างพยานหลักฐานเท็จ ช่วยเหลือ "บอส" ให้รอดพ้นจากความผิด เมื่อวาน นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงกรณีที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนความเร็วของรถยนต์นายบอส อยู่วิทยา มีทั้งผู้ที่ในตอนนั้นเป็นกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร, รองอัยการสูงสุด, อัยการ, ตำรวจ, นักวิชาการด้านฟิสิกซ์ ฯลฯ โดยขอให้ดำเนินคดีอาญากับพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พลตำรวจตรี ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข พันตำรวจเอก วิรดล ทับทิมดี และ นายเนตร นาคสุข ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือเพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใด มิให้ต้องโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง และให้ดำเนินคดีอาญากับนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม นายธนิต บัวเขียว นายชูชัย หรือ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร และรองศาสตราจารย์ ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ในข้อหาเป็น "ผู้สนับสนุน" เจ้าพนักงานในกลุ่มที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งอัยการสูงสุด พิจารณาแล้ว มีคำสั่งรับดำเนินคดีอาญา และฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน ตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และให้แจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ เพื่อให้ส่งผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 8 คน ไปยังสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต เพื่อฟ้องคดีภายในอายุความตามกฎหมายต่อไป นอกจาก 8 คนข้างต้นแล้ว ยังมีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องอีก 11 คน ทั้งที่เป็น ตำรวจ และทหาร ยศ "นายพล" พนักงานอัยการ และข้าราชการระดับอื่น ๆ ในจำนวนนี้มีทั้งผู้ที่ถูกกันตัวไว้เป็นพยาน ถูกดำเนินคดีตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ถูกส่งให้ผู้มีอำนาจพิจารณาถอดถอนจากตำแหน่ง และผู้ที่ไม่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด หลังจากที่นาย "บอส อยู่วิทยา" ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถชนคนตาย คดีก็เริ่มมีความไม่ชอบมาพากล ที่เรียกว่าแทบจะตั้งแต่ต้น ที่ตำรวจนำตัวพ่อบ้านไปรับผิดแทน พอหนีไม่พ้น ก็เริ่มมีการใช้สารพัดวิชามาร ทั้งดึง ทั้งยื้อเวลา ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกันถี่ยิบ และร้องเรียนกันในทุกส่วนที่ร้องเรียนได้ ทั้งในชั้นตำรวจ อัยการ และคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ มีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมกันหลายครั้ง หลายประเด็น จนทำให้มีหลายคดีถูกสั่งไม่ฟ้อง และบางคดีก็หมดอายุความไป เพราะฟ้องคดีไม่ทัน ประเด็นสำคัญในคดี ที่สุดจะอื้อฉาวก็คือการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ จากผลการสอบสวนเดิม ที่ระบุว่า "บอส" ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ก็มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ ปั้นตัวละครเท็จ นำผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ความเร็วรถของนายบอสกันใหม่ จนสุดท้าย เคาะกันออกมาว่า ขณะเกิดเหตุ บอสขับรถไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ทำให้สุดท้าย รองอัยการสูงสุด ที่ตรวจสำนวนคดี ก็มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี และทางตำรวจเองก็ไม่มีความเห็นแย้ง ทำให้คดีของบอสยุติไป สุดท้าย สังคมรับไม่ได้กับกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ผู้มีเงิน ผู้มีอำนาจ พ้นผิดไปชนิดที่เต็มไปด้วยข้อกังขา จนต้องมีการรื้อคดี ขึ้นสอบสวนใหม่ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือ "บอส" ให้พ้นผิดเกือบทุกระดับ ต่างถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดี สำหรับตัวของนายบอสเอง ขณะนี้เหลือเพียงข้อหาเดียวที่จะเอาผิดได้ คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งคดีจะหมดอายุความ ในวันที่ 3 กันยายน ปี 2570