รวบอดีตหัวหน้าจัดเก็บภาษีเทศบาล เบียดบังเงินหลวงสูญหลายแสน หนีคดีกว่า 15 ปี
วันที่ 25 ม.ค. 2567 เวลา 09:11 น.
หมุนเงินไม่ทัน อดีตหัวหน้าจัดเก็บภาษีเทศบาล เบียดบังเงินหลวงกว่า 100 ครั้ง สูญหลายแสนบาท ถูกรวบหลังหนีคดีกว่า 15 ปี วันนี้ (25 ม.ค.67) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ พร้อมทีมงาน และนายกฤศกร สนิทศักดิ์ดี ผอ.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ เขต 1 ลงพื้นที่สืบสวนจับกุม นางพัชร (นามสมมติ) อดีตหัวหน้าจัดเก็บภาษีเทศบาล ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 ในความผิดยักยอกเงินเทศบาล โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพัก หลังหลบหนีซุกซ่อนอยู่กับครอบครัวในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงมานานกว่า 15 ปี คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2551 ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเทศบาลแห่งหนึ่ง ขณะดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนารายได้ ระดับ 6 มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดเก็บรายได้ผลประโยชน์ เร่งรัดรายได้ทุกประเภทของเทศบาล รวมไปถึงภาษีโรงเรือน ที่ดิน และภาษีป้ายในพื้นที่เขตเทศบาล ได้ถูกไล่ออก เนื่องด้วยออกใบเสร็จการเสียภาษี แต่ไม่นำเงินเข้าบัญชีเทศบาล กลับเบียดบังเอาเงินไปเป็นของตัวเองกว่า 100 ครั้ง สูญเงินไปกว่า 3 แสนกว่าบาท แล้วหลบหนีความผิดไป อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เบื้องต้น ผู้ต้องหาอ้างว่า ทำไป เพราะต้องเอาเงินมาหมุนใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถหามาคืนได้ทันในห้วงที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าตรวจสอบ จึงได้เชิดเงินหลบหนีมาอยู่กับสามีจนถึงปัจจุบันและถูกจับในครั้งนี้ ด้าน พ.ต.อ.ศานุวงษ์ กล่าวว่า นางพัชร ได้นำเงินที่ประชาชนเสียภาษีประจำปี เท่าที่ตรวจสอบเจอไปร้อยกว่าครั้ง โดยเป็นเงินตั้งแต่หลักร้อยบาท หลักหลายพัน จนถึงหลักหมื่น และด้วยความชะล่าใจ ยักยอกไปสูงสุด 3 หมื่นบาทต่อครั้ง ซึ่งเป็นเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยปกติในห้วงเดือนม.ค. และก.พ.ของทุกปี จะเป็นช่วงมีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ การยักยอกเงินในส่วนนี้ จึงไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในระดับหน่วยงาน แต่ยังส่งผลต่อสวัสดิการและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะจะมีวิธีการในการเรียกเงินดังกล่าวคืนตามช่องทางกฎหมาย