จับโค้ช-ผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล ข่มขืนเด็ก 10 ขวบในทีม
วันที่ 15 ธ.ค. 2566 เวลา 15:57 น.
จับโค้ช-ผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล ข่มขืน-ถ่ายคลิปเด็กชาย วัย 10 ขวบ ในทีมนานนับปี เผยเด็กไม่กล้าขัดขืนเพราะถูกขู่ไล่ออก-ไม่ให้เล่นฟุตบอลอีก 15 ธ.ค. 66 พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ ปคม. รวมกับนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แถลงการณ์จับกุม นายหนึ่ง (นามสมมุติ) โค้ชฟุตบอล อายุ 43 ปี พร้อม นายสอง (นามสมมุติ) อายุ 64 ปี ผู้สนับสนุน ทีมฟุตบอล ซึ่งเป็นอดีตทหารยศพันตรี เกษียณราชการ นางปวีณา ระบุว่ากรณีนี้ สืบเนื่องจากมีแม่ของเด็กชาย วัย 10 ขวบ เดินทางเข้าร้องขอให้ช่วยเหลือลูกชายวัย 10 ขวบและเพื่อนวัยเดียวกัน ที่ถูกโค้ชและผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล รวมกัน 2 คน ร่วมกันข่มขืน พาตระเวนไปตามโรงแรมต่างๆ เพื่อถ่ายคลิปข่มขู่เป็นเวลานานนับปี โดยจากข้อมูลผู้เป็นแม่ของเยาวชนชาย ระบุว่า ที่ผ่านมามีโค้ชสอนฟุตบอลชายและผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล ยศพันตรี วัย 64 ปี จัดตั้งทีมฟุตบอลเยาวชนชาย ได้มาขอใช้สนามฟุตบอลโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี เพื่อให้เด็กๆ ได้ฝึกซ้อม ซึ่งจะมีเด็กนักเรียนชายในโรงเรียนอายุ 9 -13 ปี สนใจกีฬาฟุตบอลเข้าร่วมสมัคร ก่อนที่เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ด.ช.เอ (นามสมมุติ) อายุ 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 เอาเสื้อฟุตบอลไปคืนครูและบอกว่าจะไม่เล่นฟุตบอลอีกแล้ว ครูจึงแปลกใจ เพราะเด็กรักในการเตะฟุตบอลมาก จึงได้ถาม จน ด.ช.เอ เล่าให้ฟังว่า ถูกนายหนึ่ง (นามสมมุติ) โค้ชฟุตบอล ซึ่งมีอาชีพหลักเป็นข้าราชการ อายุ 43 ปี และนายสอง (นามสมมุติ) อดีตทหารยศพันตรี ผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล อายุ 64 ปี ข่มขืนกระทำชำเราทางทวารหนักและถ่ายคลิปหลายครั้งที่บ้านพักและโรงแรม ระหว่างเก็บตัวฝึกซ้อม หรือเดินทางไปแข่งขันตามจังหวัดต่างๆ ก็จะถูกข่มขืน นอกจากนี้แม่ด.ช.เอ ยังเล่าอีกว่า เด็กๆ ที่อยู่ในทีมส่วนใหญ่จะอยู่แบบไปกลับ เมื่อฝึกซ้อมเสร็จก็กลับบ้าน แต่จะมีเด็ก 4-5 คน ที่โค้ชและพันตรี ผู้สนันสนุน จะคุยกับผู้ปกครอง ขออุปถัมป์และให้กินนอนที่บ้านโค้ช ก่อนที่ ช่วงวันที่ 30 ก.ค. ถึงช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โค้ชกับผู้สนันสนุนพาเด็กๆ ไปแข่งขันที่ จ.บึงกาฬ โดยเปิดห้องพักที่รีสอร์ต หลังแข่งเสร็จ โค้ชกับพันตรี ผู้สนันสนุน ก็จะเรียกเด็กไปกระทำชำเราที่ห้องพัก ห้องละ 2-3 คน โดยผลัดเปลี่ยนกันกระทำและถ่ายคลิป ซึ่งในจำนวนนั้นก็มี ด.ช.เอ และด.ช.บี (นามสมุติ) ถูกกระทำด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กๆ ก็ถูกกระทำระหว่างไปแข่งขันที่ จ.บึงกาฬ เช่นกัน และเด็กอีก 3 คนที่อยู่บ้านโค้ชก็จะถูกผลัดเปลี่ยนกันมาให้โค้ชและผู้สนับสนุนกระทำ บางครั้งเด็ก 4-5 คน ก็ถูกสั่งให้มาร่วมวงพร้อมกันและผลัดกันกระทำทางเพศพร้อมถ่ายคลิปเก็บไว้ ซึ่งตลอดเวลาเด็กๆ ทุกคนไม่กล้าขัดขืนเพราะโค้ชและผู้สนันสนุน เคยข่มขู่ไว้ว่าจะไล่ออกจากทีมและไม่ให้เล่นฟุตบอลอีก เด็กทุกคนจึงต้องยอมทน เพราะอยากจะเล่นฟุตบอลและอยากเป็นนักกีฬาฟุตบอล หากใครกลับบ้านหรือหายไปไม่มาฝึกซ้อมโค้ชกับผู้สนันสนุนก็จะไปตามถึงบ้านและรับตัวกลับมากระทำอีก หลังกลับจาก จ.บึงกาฬ ด.ช.เอ ก็ไม่ไปฝึกซ้อมและพยายามตีตัวออกห่าง กระทั่งวันที่ 25 ส.ค. โค้ชกับพันตรี ผู้สนับสนุน ก็มาตามที่บ้านยาย ซึ่งไม่รู้เรื่องก็ยอมให้หลานไปอยู่บ้านโค้ชอีก และด.ช.เอ ก็ถูกกระทำเรื่อยมา จนวันที่ 6 พ.ย. ด.ช.เอ ทนไม่ไหวจึงได้ขอลาออกจากทีมและเอาเสื้อมาคืน ขณะที่ ด.ช.บี ซึ่งถูกโค้ชและผู้สนันสนุนกระทำชำเราด้วย เมื่อรู้ว่าด.ช.เอ ไม่ยอมทนแล้ว จึงได้ออกจากทีมด้วย เมื่อแม่และยายของเด็กชายทั้งสองรู้เรื่อง ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะทั้งโค้ชและผู้สนันสนุน เป็นคนกว้างขวางและรู้จักคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต จึงได้ร้องขอความช่วยเหลือมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเอาผิด ให้ดำเนินคดีถึงที่สุด นางปวีณา ยังระบุอีกว่า หลังได้รับเรื่องได้ ดำเนินการนำตัวเด็กไปตรวจสอบ และพบร่องรอยการถูก กระทำการทางเพศจริง จึงได้มีการประสานมาที่ทางตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้ พล.ต.ต.ศารุติ ระบุว่า เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา 6 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปีกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ,ร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร ,ร่วมกันพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ,ร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีเพื่อการอนาจาร และร่วมกันกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจ ให้เด็กกระทำอันมีลักษณะลามกอนาจาร กับผู้ต้องหาทั้ง 2 ซึ่งทั้ง 2 ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา นอกจากนี้ ขณะเข้าจับกุมเจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบพบคลิปอนาจารที่ถ่ายไว้ โดยเจ้าหน้าที่จะขยายผลไปตรวจสอบว่า มีการนำคลิปไปใข้เพื่อการค้าหรือเปิดกลุ่มลับและส่งคลิปไปหรือไม่ เพราะหากมีการกระทำดังกล่าวจริง จะต้องดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งหากตรวจพบว่ามีการเปิดกลุ่มลับจริง ผู้ที่อยู่ภายในกลุ่มก็จะต้องถูกดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการทางคดีด้วยเช่นกัน