ความเหงา ภัยคุกคามด้านสาธารณสุข ก่อโรคหัวใจ-หลอดเลือดสมอง

วันที่ 28 พ.ย. 2566 เวลา 15:19 น.

ความเหงา ภัยคุกคามด้านสาธารณสุข ก่อโรคหัวใจ-หลอดเลือดสมอง ในไทยแนวโน้มสูงขึ้น ห่วงผู้สูงวัยใช้ชีวิตลำพัง เยาวชนรู้สึกโดดเดี่ยว หันหน้าพึ่งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด สสส. เสนอ 6 ทางแก้ ควันหลงลอยกระทง ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เทศกาลลอยกระทง ยังคงมีความเชื่อผิดๆ ว่าต้องลอยกระทงคู่กันกับคนรัก เทศกาลนี้จึงทำให้บางคนเกิดอารมณ์ที่สร้างความทุกข์รบกวนใจ คือ ความเหงา ที่ไม่สามารถจัดการได้ ในเรื่องของสุขภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ความเหงา (Loneliness) เป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุข พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อการเชื่อมต่อทางสังคม ผลการศึกษาวิจัยในต่างประเทศ พบว่า ความเหงา ความโดดเดี่ยว การแยกตัวจากสังคม การอยู่คนเดียว ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนปกติ ที่สำคัญข้อมูลทั่วโลกมีคน 1 ใน 4 คน ที่เผชิญภาวะความเหงา ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ในไทยพบผู้สูงอายุที่มีภาวะเหงาเพิ่มขึ้น ผลจากครอบครัวขยายน้อยลง ผู้สูงวัยใช้ชีวิตโดยลำพัง ขณะที่เยาวชนส่วนหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยว นำไปสู่ความเสี่ยงทางสุขภาพและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จากการพึ่งพายาเสพติด สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครียด และการฆ่าตัวตาย ปัจจุบันความเหงาถูกยกระดับเป็นภัยสุขภาพระดับโลกเร่งด่วน โดย นพ.วิเวก เมอร์ฟี แพทย์ประจำรัฐบาล (Surgeon General of the United States) สหรัฐฯ เสนอ 6 มาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ปัญหา 1.สร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม เช่น สวนสาธารณะ จุดพบปะสังสรรค์ พื้นที่สร้างสรรค์ในชุมชน 2.มาตรการด้านกฎหมายสนับสนุนการลาหยุดพักผ่อนระดับครอบครัว เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์ 3.จัดระบบสุขภาพ คัดกรองผู้ที่ภาวะความเหงาและปัญหาสุขภาพจิต สำหรับไทยได้สร้างกลไกนี้อย่างเป็นรูปธรรม 4.ส่งเสริมศักยภาพให้ประชาชนรู้เท่าทันดิจิทัล เป็นเครื่องมือส่งเสริมการสื่อสารออนไลน์ ทำให้ไม่โดดเดี่ยว 5.ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับความเหงาเพิ่มมากขึ้น 6.สร้างวัฒนธรรมการพบปะพูดคุย ลดการแยกตัวจากสังคม ซึ่งทั้ง 6 ข้อเสนอ สามารถนำมาปรับประยุกต์ให้เข้ากับไทยบนฐานสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย