ยึดป่าสุราษฎร์ฯ คืน 27 ไร่ ทำผิดเงื่อนไขปลูกทุเรียน-ยางพารา
วันที่ 24 พ.ย. 2566 เวลา 18:44 น.
ตำรวจป่าไม้ ตรวจยึดพื้นที่ป่าสุราษฎร์ธานี คืนได้ 27 ไร่ หลังผู้ครอบครองทำผิดเงื่อนไข ปลูกต้นทุเรียน-ยางพารา ผิดกฎหมายป่าไม้หมายฉบับ สุราษฎร์ฯ ยึดป่าคืน (24 พ.ย.2566) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นำโดย ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ คงหวัง รอง สว.กก.5 บก.ปทส. และตำรวจสายตรวจจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจับกุม นายทวีศักดิ์ฯ และ นายประสิทธิ์ฯ ในความผิดฐาน 1. ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,109 ทวิ “ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ที่ดินของรัฐนั้น ถ้ามิได้มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมิให้บุคคลใด เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่นสร้างหรือเผาป่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ 2. พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54, 72 ตรี “ก่น สร้าง แผ้วถาง หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่” ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหน้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3. พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 “ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้ผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ หรือที่อยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่าทำไม้ เก็บหาของป่า หรือทำด้วยประการใดเพื่อหาผลประโยชน์อันเป็นการเสื่อมแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ” ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 14 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบสามปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท 4. พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19 (1), 41 “ยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ไปจากเดิม” ผู้ใดฝืนมาตรา 19 (1) ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 5. พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19 (6), 44 “เข้าไปดำเนินการกิจการใด ๆ เพื่อหาผลประโยชน์” ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 (6) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมตรวจยึดของกลางต้นทุเรียน อายุ 6-12 เดือน จำนวน 100 ต้น และต้นยางพารา อายุ 3 เดือน จำนวน 200 ต้น โดยตรวจยึดได้ บริเวณป่าเขาเหล็กในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองน้ำเฒ่าและในเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นในพื้นที่หมู่ที่ 1 ต.ลำพูน อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี สืบเนื่องจากมีการร้องเรียนว่าในเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น มีการบุกรุกแผ้วถางยึดถือครอบครองพื้นที่ป่า บริเวณป่าเขาเหล็กในพื้นที่หมู่ที่ 1 ต.ลำพูน อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ตำรวจจึงได้ค้นหาพื้นที่ตามที่ได้มีการร้องเรียน พบว่ามีพื้นที่ป่าถูกบุกรุกโดยการปลูกต้นทุเรียนจำนวน 100 ต้น และต้นยางพารา จำนวน 200 ต้น อีกทั้งบริเวณโดยรอบมีร่องรอยการใช้รถแทรกเตอร์เข้ามาทำการปรับสภาพพื้นที่ นอกจากนี้ยังปลูกพืชผลอาสินบางส่วนที่ไม่สามารถตรวจนับได้เนื่องจากมีวัชพืชปกคลุมเต็มพื้นที่ เมื่อนำค่าพิกัดมาตรวจสอบกับแปลงการครอบครองที่ดินฯ ปรากฏว่า ทับซ้อนอยู่ในแปลงสำรวจการครอบครองที่ดิน (อส.2) จำนวน 2 ราย คือ นายทวีศักดิ์ฯ โดยมีเนื้อที่รวมประมาณ 16 ไร่ และนายประสิทธิ์ฯ โดยมีเนื้อที่รวมประมาณ 11 ไร่ เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นที่ รย.6 (ดาดฟ้า) ได้ให้ข้อมูลว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองน้ำเฒ่าและเขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เป็นประชาชนที่มีรายชื่อผู้ได้รับการสำรวจถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตามพระราชกฤษฎีกาตาม มาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2566 แต่ยังไม่ได้ประกาศให้ใช้บังคับ ดังนั้นการกระทำใด ๆ ที่เป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้และหรือเข้าลักษณะของการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนด สามารถดำเนินการตามกฎหมายและยกเลิกการขึ้นทะเบียนการตรวจสอบพิสูจน์การครอบครองที่ดินของรัฐในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ส่งผลไปถึงการถือครองที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ด้วย ดังนั้น พฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้กระทำการผิดเงื่อนไข คือการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากเดิม โดยตัดโค่นต้นไม้ยางพาราเดิมเพื่อปลูกต้นทุเรียนและต้นยางพารา รวมทั้งปลูกพืชอาสินบางส่วน รวมเนื้อที่กว่า 27 ไร่ คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่รวมทั้งของกลางทั้งหมด จากนั้นเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป