ข่าวใหญ่ : องค์กรนักเลง เลิกเป็นนักเรียน

ข่าวใหญ่ : องค์กรนักเลง เลิกเป็นนักเรียน

วันที่ 23 พ.ย. 2566 เวลา 11:12 น.

ห้องข่าวภาคเที่ยง - "องค์กรอาชญากรรมขนาดเล็ก" ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะในกลุ่มผู้ต้องหา ล่าสุดที่ตำรวจเพิ่งจับกุมได้ แต่จริง ๆ แล้ว สถาบันฝั่งที่เป็นผู้เสียหายก็เคยมีการรวมตัวกันก่อเหตุแบบนี้มาแล้ว จึงเป็นไปได้ว่า ฝั่งสถาบันคู่อริศึกษาและพัฒนารูปแบบ เพื่อยกระดับขึ้นมาต่อกรกับคู่อริของตัวเอง ที่ให้คุณผู้ชมได้ดูไป จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ต้องหา ไม่ได้เป็นนักศึกษาของสถาบันแล้ว แต่ในกลุ่มลับ กลับมีการรวมตัวกันของคนกลุ่มหนึ่ง มากถึงกว่า 100 บัญชี ที่สำคัญมีการยกย่องคนที่ก่อเหตุ ชื่นชมว่าทำได้ยอดเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่เพิ่งพรากชีวิต "ครูเจี๊ยบ" ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแค้นที่คนกลุ่มนี้สร้างบทบาทสมมติขึ้นมา จากข้อมูลการสืบสวนของตำรวจ องค์กรอาชญากรรมขนาดเล็กกลุ่มนี้ มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานเป็นขั้นเป็นตอน วางแผนไว้ตั้งแต่การจัดหาอาวุธปืน รถจักรยานยนต์ก็ขโมยมาดัดแปลง เปลี่ยนสีตั้งแต่ต้นจากสีเหลือง ไปเป็นสีแดง แล้วพอก่อเหตุเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ติดป้ายทะเบียนที่ขโมยมา ก่อนจะลงมือ มีทั้งการกำหนดคนที่เป็นเหยื่อ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เพิ่งเข้าเรียน ศึกษาพฤติกรรมเป้าหมาย จากนั้นก็วางแผนว่าจะเข้าไปก่อเหตุอย่างไร ต้องหลบหนีอย่างไร ต้องขับรถหรือขี่จักรยานยนต์ เปลี่ยนคัน เปลี่ยนจุดกี่รอบ เพื่อหลบหนีการติดตามจับกุมของตำรวจ แล้วต้องทิ้งเบาะแสแบบผิด ๆ อย่างไร เพื่อให้ตำรวจไขว้เขว นอกจากนี้ยังมีเซฟเฮาส์ จุดรวมตัวทำกิจกรรม มีรุ่นพี่ หรืออดีตรุ่นพี่ คอยเป็นพี่เลี้ยง มีการระดมเงินทุนทั้งถูกกฎหมาย และเงินทุนสีเทา ไว้ก่อเหตุ หนึ่งในข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาล่าสุด จากชุดสืบสวนนครบาล ยิ่งยืนยันพฤติการณ์วางแผนเตรียมการก่อเหตุของผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว หลังตำรวจไปพบภาพวงจรปิด รถจักรยานยนต์ และลักษณะคนขี่ คนซ้อนท้าย ที่คล้ายกับผู้ก่อเหตุ ปรากฏอยู่ในพื้นที่ตำบลโคกช้าง อำเภอไทรน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลยืนยันว่า คนในพื้นที่ไม่มีใครแต่งตัวแบบนี้ นอกจากนี้ ชุดสืบสวนยังไปพบป่าที่มีหญ้ารกร้าง มีรอยหักกิ่งไม้ใบหญ้า ร่องรอยการพ่นสีสเปรย์ เป็นสีน้ำเงิน และสีแดง ติดกับใบหญ้าและดิน ตรงกับวัตถุพยานที่ตรวจได้จากเซฟเฮาส์ ในซอยวงศ์สว่าง 19 กรุงเทพฯ ด้วย อย่างที่เราบอกไปเมื่อตอนต้น ว่าคำว่า "องค์กรอาชญากรรมขนาดเล็ก" ไม่ได้เพิ่งเกิดกับกลุ่มผู้ต้องหาชุดล่าสุดที่ตำรวจเพิ่งจับกุมได้ หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ในคดียิงนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เสียชีวิตใกล้สถานีรถไฟฟ้าบางขุนนนท์ ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 30/1 คืนวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ตำรวจสืบสวนนครบาล เคยวิเคราะห์มูลเหตุจูงใจการก่อเหตุ ว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งของนักศึกษาต่างสถาบัน ก่อนสืบสวนไปจับกุมผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด 14 คน เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย พบเซฟเฮาส์ที่ย่านคูคต จังหวัดปทุมธานี ยึดปืนลูกโม่เถื่อน 3 กระบอก และกระสุน 72 นัด ทุกคนปิดปากเงียบ ไม่ให้การเหมือนเตี๊ยมกันไว้ ตรวจสอบพบ 3 คน มีหมายจับคดีฆ่าคู่อริต่างสถาบันท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ปี 2565 ส่วนรูปแบบการก่อเหตุ จะมีทั้งการสำรวจพื้นที่เป้าหมาย ดูต้นทาง หาป้ายทะเบียนปลอม จัดหาอาวุธปืน ทำลายหลักฐาน สำรวจพื้นที่หลบหนี หาเซฟเฮาท์ซุกซ่อนรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ตำรวจเพิ่งจับกุมไป จะเห็นได้ชัดเจนว่า เหมือนเลียนแบบตาม ๆ กันมา แตกต่างกันตรงที่มีการพัฒนารูปแบบให้มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้เรียนรู้มาจากความผิดพลาดในอดีต ด้วยการพากันไปนั่งฟังการเบิกความในชั้นในศาล เพื่อดูว่าตำรวจทำไมถึงสืบสวนจับกุมพวกเขาได้ เอาข้อมูลกลับไปวิเคราะห์ พัฒนารูปแบบการก่อเหตุ จนมาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ซึ่งเมื่อวานนี้ ตำรวจยังได้พาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปดูพยานหลักฐานที่ตรวจยึดได้ในจังหวัดนนทบุรี เราก็ส่งคุณพิธพงษ์ ลงพื้นที่ตามไปดูด้วย ไปดูกันว่าคุณพิธพงษ์ พบอะไรจากการลงพื้นที่ดังกล่าว สำหรับคดีนี้ ตำรวจจับกุมผู้ต้องหารวมแล้ว 9 คน โดย 8 คนแรก หลังสอบสวนเสร็จได้ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันซ่องโจร และถูกนำส่ง สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินคดีแล้ว ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คน พบว่าเป็นผู้ต้องหาพัวพันคดียิงนักศึกษาอุเทนถวาย หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ถูกนำตัวส่ง สน.ปทุมวัน ดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหารายที่ 9 เนื่องจากมีอาการช็อกที่ถูกจับ จึงต้องนำส่งโรงพยาบาลไปเมื่อช่วงบ่ายของเมื่อวาน หากอาการดีขึ้น ตำรวจจึงจะนำตัวมาสอบปากคำ และผลจากการจับกุมดังกล่าว ทำให้เมื่อวาน มีชายต้องสงสัยคนหนึ่ง นำอาวุธปืนพกสั้นแบลงก์กัน ภายในลูกโม่มีกระสุนขนาด .38 จำนวน 4 นัด พร้อมยิง โยนเข้าไปภายในรั้วของสถาบันแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน ตำรวจคาดว่า ชายคนนี้อาจเห็นตำรวจแล้วเกิดความกลัว จึงรีบโยนปืนทิ้ง ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ส่วนจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลเชื่อมโยงคดี อย่างไรก็ตาม เรื่องการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 7 คน ที่ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ทางพันตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ สารบุญ ผู้กำกับการ สน.ทุ่งมหาเมฆ เปิดเผยว่า จะเร่งสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ประกอบการแจ้งข้อหาความผิดฐาน "ซ่องโจร" คาดว่าหากสอบปากคำเสร็จสิ้น จะพาตัวทั้งหมดไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฯ ฝากขังได้วันพรุ่งนี้ ส่วนตัวการสำคัญที่เป็นมือยิง ที่ชื่อว่า "นายวิน" และคนขี่รถจักรยานยนต์ และสั่งให้ยิง ที่ชื่อว่า "นายเลาะ" ตำรวจยืนยันชื่อของทั้งสองคนว่าเป็นคนก่อเหตุ และได้จัดชุดสืบสวนติดตามล่าตัวแล้ว จากการสังเกตของผู้สื่อข่าว ยังพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ไม่ได้มีท่าทีสลด สีหน้าปกติ พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา มีญาติมาติดต่อขอเยี่ยม และปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน