แข็งโป๊ก! ฐานะการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยแข็งแกร่ง แม้หนี้เสียเพิ่ม
วันที่ 20 พ.ย. 2566 เวลา 14:23 น.
ปัญหาหนี้ครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังแก้ไขไม่ได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ล่าสุดมีฐานะแข็งแกร่ง เงินกองทุน เงินสำรองมีสูง แม้การปล่อยกู้จะมีหนี้เสียเพิ่ม รายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น วันนี้ (20 พ.ย.66) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสถานะของธนาคารพาณิชย์ในระบบ โดยระบุว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่อง อยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2566 หดตัวเล็กน้อยที่ 0.91% จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการทยอยชำระคืนหนี้ของภาคธุรกิจหลังเร่งขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงโควิด โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มส่งออก และภาครัฐ ประกอบกับมีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ ของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม สินเชื่อธุรกิจยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มโฮลดิ้ง และก่อสร้าง ขณะที่สินเชื่อรายย่อยขยายตัวชะลอลงในเกือบทุกพอร์ตสินเชื่อ ด้านคุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อย จากสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยธนาคารพาณิชย์ยังบริหารจัดการคุณภาพหนี้ และให้ความช่วยเหลือ ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 3 ปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 494.6 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.70% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยง ด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ระดับ 5.84% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 6.08% สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ย ที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนทางการเงินปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินรับฝากและ FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติ รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับลดลง จากการลดลงของรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล และกำไร FVTPL ที่ลดลงจากผลขาดทุนจาก การขายตราสารอนุพันธ์เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังมีฐานะ การเงินเปราะบางจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2 ปี 2566 ทรงตัว จากไตรมาสก่อน ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้านความสามารถในการทำกำไร โดยรวมทรงตัว โดยภาคการผลิตปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มเคมีภัณฑ์สวนทางกับกำไรในภาคการผลิตอื่น ขณะที่ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว