ทลายแก๊งลักรถ จยย. ยึดรถของกลาง 8 คัน
วันที่ 31 ต.ค. 2566 เวลา 11:06 น.
ห้องข่าวภาคเที่ยง - ตำรวจนครบาล ไปจับกุมเครือข่ายขโมยรถจักรยานยนต์ ลักลอบส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตระเวนก่อเหตุขโมยรถฯ ทุกคืน คืนละ 1-2 คัน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม คาดว่าขโมยรถไปแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คัน ความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท คดีนี้เริ่มต้นจากการจับกุมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม หลังตำรวจ สน.คลองตัน ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายลักขโมยรถจักรยานยนต์ไป แล้วพบว่าคนร้าย คือ นายอภินันท์ อายุ 24 ปี จึงนำหมายศาลไปเข้าค้นบ้านเช่าหลังหนึ่ง ในซอยนาวีเจริญทรัพย์ แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ พบ นายณัชธฤต รับเป็นผู้ดูแลบ้าน และ นายอภินันท์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ พร้อมกับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 1 คัน ตรงกับคันที่แจ้งหายไว้ และยังพบปืน 2 กระบอก พร้อมกระสุนอยู่ในบ้าน จึงคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนขยายผล จากนั้นตำรวจสืบสวนพบว่า เครือข่ายนี้มี นายบุญคงคา อายุ 26 ปี เป็นผู้สั่งการ จะคอยเรียก นายสมยศ ไปรับตัว นายอภินันท์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ไปร่วมกันตระเวนก่อเหตุลักขโมยรถจักรยานยนต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามเป้าหมาย คืนละ 1-2 คัน แล้วเอากลับมาที่บ้านพักเพื่อเปลี่ยนบล็อกกุญแจ แล้วให้ นายณัชธฤต ที่ถูกจับกุมซึ่งหน้า ติดต่อหา นายริน ชาวเมียนมา ประเมินสภาพรถเพื่อตกลงทำการซื้อขายกัน ซึ่งก็จะได้เงินประมาณ 20,000 ปลาย ๆ ถึง 30,000 บาท จากนั้นก็จะโอนเงินไปให้ นายบุญคงคา แบ่งเงินให้กับผู้ต้องหาแต่ละคน ซึ่งทำแบบนี้มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงตามไปจับกุมตัวทั้งหมดจากหลายพื้นที่ คำนวณคร่าว ๆ 4 เดือน ลงมือทุกวัน วันละ 1-2 คัน เท่ากับว่าลักขโมยรถไปแล้วไม่ต่ำกว่า 120 คัน ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท จากการสอบสวน นายอภินันท์ รับว่าหลังก่อเหตุและตกลงทำการซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว จะติดต่อเรียกคนชื่อ "ประสาน" ให้มาหาแบบ "วันเว้นวัน" ที่บริเวณลานจอดรถสำนักงานเขตบางแค นำรถจักรยานยนต์ครั้งละ 2 คัน ไปส่งที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อตำรวจไปขยายผลที่บ้านของนายประสาน ก็พบรถจักรยานยนต์ที่มีการแจ้งหายไว้ 2 คัน พร้อมกับรถกระบะที่ใช้ในการกระทำผิดจอดอยู่ และเมื่อตำรวจขยายผลไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี ก็ไปพบรถจักรยานยนต์อีก 2 คัน ด้วย ตำรวจจึงดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ฯ และรับของโจร ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย