ประเทศไทยค้นพบซากดึกดำบรรพ์อัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ของโลก “อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล”

วันที่ 18 ต.ค. 2566 เวลา 12:07 น.

ไทยค้นพบซากดึกดำบรรพ์อัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ของโลก คือ “อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส” หรือ “อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล” ซึ่งคาดว่าเคยอาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 230,000 ปีก่อน โดยค้นพบที่ ต.ใหม่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา วันนี้ (18 ต.ค. 66) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) ร่วมกับ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทือบิงเกน ประเทศเยอรมนี นำโดย Dr.Gustavo Darlim และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดแถลงข่าวผลการศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์ของอัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ของโลก “อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส” (Alligator munensis) หรือ “อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล” โดย นาย เถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมด้วยนายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะโฆษกกรม และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมแถลงข่าว ทาง นาย เถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยว่า ปัจจุบันทางกรมทรัพยากรธรณี ได้จัดทำแผนแม่บทการคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2566-2580 เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการบริหารจัดการซากดึกดำบรรพ์ของประเทศ เพื่อมุ่งให้เกิดการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญ เพื่อการศึกษาวิจัย สืบค้นประวัติความเป็นมาของประวัติของโลก อีกทั้งเป็นมรดกทางธรรมชาติของแผ่นดิน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ด้าน นาย ฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่า กรมทรัพยากรธรณีได้รับแจ้งจากผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 ขอให้ไปตรวจสอบซากดึกดำบรรพ์ และทีมสำรวจได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2548 ที่เก็บรักษาไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอโนนสูง พบว่า เป็นกะโหลกสัตว์โบราณ 1 ชิ้น กรามสัตว์โบราณ 2 ชิ้น และกระดูกสัตว์โบราณ 5 ชิ้น และได้ลงพื้นที่บ้านเจ้าของที่ดินใน บ้านสี่เหลี่ยม ต.ใหม่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซึ่งได้ขุดบ่อเลี้ยงปลา โดยมากเป็นเศษกระดูกแตกหักจนไม่สามารถศึกษาได้ ซึ่งซากดึกดำบรรพ์กะโหลกอัลลิเกเตอร์ที่พบมีสภาพเกือบสมบูรณ์ในชั้นตะกอนทรายลึกลงไปจากผิวดินประมาณ 2 เมตร คาดว่า มีอายุในช่วงไม่เกินสมัยไพลสโตซีนตอนกลาง หรือประมาณ 230,000 ปีก่อน หรืออาจมีอายุน้อยกว่านั้น และพบว่า เป็นสายพันธุ์ใหม่ของโลก ถูกศึกษาและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Scientific Reports  ทีมนักวิจัยได้ศึกษาตัวอย่างโดยเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เคยศึกษามาก่อน 19 ตัวอย่าง ประกอบด้วยตัวอย่างชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 4 ชนิด และตัวอย่างในปัจจุบัน อีก 2 ชนิด โดยผลการศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์อัลลิเกเตอร์สายพันธุ์ใหม่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “อัลลิเกเตอร์ มูลเอนซิส” (Alligator munensis) หรือ “อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล” โดยตั้งชื่อตามแหล่งค้นพบใกล้กับแม่น้ำมูล ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ กล่าวว่า อัลลิเกเตอร์มีลักษณะคล้ายกับจระเข้ แตกต่างที่ อัลลิเกเตอร์มีจะงอยปากเป็นรูปตัวยู (U) และเมื่อปิดปากจะเห็นเฉพาะฟันบนหรือแทบไม่เห็นเลย ในขณะที่จระเข้มีจะงอยปากเรียวแหลมเป็นรูปตัววี (V) และเมื่อปิดปากจระเข้จะเห็นฟันทั้งบนและล่าง โดยปัจจุบันอัลลิเกเตอร์เหลืออยู่เพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น คือ อัลลิเกเตอร์อเมริกา (Alligator mississippiensis) และอัลลิเกเตอร์จีน (Alligator sinensis) ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก ปัจจุบันข้อมูลด้านการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ของอัลลิเกเตอร์ระหว่างเอเชียและอเมริกา ยังคงเป็นปริศนาว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่อย่างไรก็ตามการค้นพบในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าถิ่นที่อยู่ของอัลลิเกเตอร์ในอดีตนั้นเคยกว้างขวางกว่าในปัจจุบันมาก โดยลักษณะเด่นของ “อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูล” คือ มีจะงอยปากกว้างและสั้นกว่า มีกะโหลกสูงกว่า มีตำแหน่งรูจมูกอยู่ห่างจากปลายจะงอยปาก มีการลดจำนวนเบ้าฟันลงและมีเบ้าฟันขนาดใหญ่ขึ้นบ่งบอกว่ามีฟันขนาดใหญ่ใช้สำหรับกินอาหารที่มีเปลือกแข็ง จากขนาดกะโหลกคาดว่า มีขนาดทั้งตัวยาวประมาณ 1 - 2 เมตร นอกจากนี้ยังพบว่าลักษณะกะโหลกใกล้เคียงกับอัลลิเกเตอร์จีนในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า อัลลิเกเตอร์ทั้งสองชนิดอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างลุ่มน้ำแยงซีและลุ่มน้ำแม่โขง-เจ้าพระยา แต่การเกิดธรณีแปรสัณฐานทำให้เกิดการยกตัวของที่ราบสูงธิเบต ส่งผลให้เกิดการแยกประชากรทั้งสองชนิดออกจากกัน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้อัลลิเกเตอร์แม่น้ำมูลเกิดการสูญพันธุ์ไปก่อน ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผลงานการศึกษาวิจัยจากกรมทรัพยากรธรณีค้นพบซากดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ของไทยและของโลก จำนวนทั้งสิ้น 691 ชนิด (สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 407 ชนิด สัตว์มีกระดูกสันหลัง 158 ชนิด พืช 69 ชนิด ร่องรอย 1 ชนิด และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก 56 ชนิด)