ทนายเชาว์มองค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก จ้อผ่านสื่อแก้ตัวเป็นวัวพันหลัก ใช้เป็นหลักฐานในศาลได้
วันที่ 2 ต.ค. 2566 เวลา 17:59 น.
ทนายเชาว์มองค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก จับเครือข่ายพนันออนไลน์ จ้อผ่านสื่อ คำแก้ตัวเป็นวัวพันหลัก ใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ คำพูดพลั้งปากอาจกลายเป็นสารภาพ? สะท้อนเมื่อมีคดีถ้าข้อเท็จจริงยังไม่ตกผลึก อย่าริตั้งโต๊ะแถลงข่าวหาแสง มิเช่นนั้นท่านอาจไม่มีคำพูดอะไรไปแก้ตัวในศาลได้อีกเลย ค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก วันนี้ (2 ต.ค.66) ทนายเชาว์ มีขวด ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงพยานหลักฐานคดีค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่จ้อกันในหน้าสื่อโซเชียลใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่ เนื่องจากมีถามกันมาเยอะว่าพยานหลักฐานที่คู่ความทั้ง 2 ฝ่าย พูดตอบโต้กันไปมารวมทั้งภาพถ่ายวัสดุสิ่งของที่ปรากฎในสื่อหลักและสื่อโซเชียลใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่ เพราะในปัจจุบันเมื่อมีคดีสำคัญ สื่อจะเกาะติดเจาะข่าวจากพยานในที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย รวมทั้งทนายความก็จะถูกเชิญมาให้สื่อได้ซักกันกลางสาธารณะ ก่อนคดีจะขึ้นสู่ศาลเรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรที่จะต้องสืบพยานกันอีก หลังการเข้าค้นบิ๊กโจ๊กออกมาตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนำค้นอย่างรุนแรง และให้สัมภาษณ์สื่อทันที รับว่าบ้าน 5 หลัง เป็นของตนแต่ใช้ชื่อญาติสนิทที่สงขลาเป็นผู้ซื้อ แต่เมื่อตรวจสอบชื่อเจ้าของบ้านที่จริง ปรากฏว่าคือเฮียแต๋ม เป็นคนจังหวัดอุดรธานี ไม่ได้เป็นญาติสนิทอะไรกัน บิ๊กโจ๊กยอมรับและอ้างว่านับถือกันเป็นญาติ และยอมรับว่าตนเองเช่าบ้านจากเฮียแต๋ม 2 หลัง เดือนละ 5 หมื่นบาท แต่เมื่อตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าจ่ายส่วนกลาง กลับพบว่าเฮียแต๋มเป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้กับหมู่บ้านทุกปี ทนายเชาว์ ระบุด้วยว่า ในสถานการณ์ที่เริ่มจนกระดาน บิ๊กโจ๊กจึงตั้งทีมทนายอนันต์ชัย ไชยเดช สู้คดีค้นบ้านไม่เป็นธรรม โดยแบ่งทีมทนายเป็น 2 ส่วน 1. คนที่มารังแก บิ๊กโจ๊ก 2. คดีตำรวจ 8 นาย ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของบิ๊กโจ๊ก วันแรกที่รับงานทนายอนันต์ชัย ให้สัมภาษณ์สื่อหลายรอบ แต่ช่วงสำคัญคือการ นำผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 8 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ “บิ๊กโจ๊กตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่บริเวณสำนักงานนายอนันต์ชัย บิ๊กโจ๊กมานั่งหน้าคู่กันทนายอนันต์ชัย ด้านหลังแวดล้อมด้วยนายตำรวจลูกน้องคู่ใจที่ถูกออกหมายจับ เรียกว่าเปิดหน้าสู้ตามแนวทางการเดินเกมของทนายอนันต์ชัย จนทุกคนรู้สึกงง กับสถานะของ รอง ผบ.ตร. ที่แวดล้อมไปด้วยผู้ต้องหาที่ถูกจับ ว่านี่คือการแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายหรือแถลงผลงานอะไรกันแน่ จับประเด็นในวันนั้น นอกจากคำแก้ตัววัวพันหลักของผู้ต้องหาแต่ละคน รวมทั้งบิ๊กโจ๊กแล้ว ทนายอนันต์ชัยก็หลุดคำพลั้งปากออกไปว่า “น้องพวกนี้เขาทำความดีมาทั้งชีวิต มาผิดครั้งเดียวจะเอากันให้ตายเชียวหรือ” นอกจากคำสัมภาษณ์เหล่านี้ยังมีสื่อโซเชียลหลายช่องก็ได้ตระเวนเจาะเกาะติดไปยังแหล่งข่าวต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเส้นเงิน รวมทั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อบัญชีม้า หลักฐานรูปถ่ายความสัมพันธ์ของบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในขบวนการพนันออนไลน์และฟอกเงิน” ถามว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสื่อทั้งหมด เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลคู่ความสามารถอ้างอิงเอาพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในศาลได้หรือไม่ ? ทนายเชาวน์ อธิบายว่า ในคดีอาญานั้นคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอ ย่อมถือเป็นพยานหลักฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า จำเลยมีความผิดจริงหรือบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และสามารถใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ กฎหมายเรียกพยานหลักฐานเช่นนี้ว่า พยานตรงจากโทคโนโลยีการบันทึกภาพบุคคล วัสดุ สิ่งของ รวมทั้งเสียงในที่เกิดเหตุ ซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญมากที่สุดในบรรดาพยานหลักฐานทั้งปวง มีความน่าเชื่อถือกว่าพยานบุคคล เพราะดิ้นไม่ได้ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไรก็บันทึกไปอย่างนั้น สอดคล้องกับในปัจจุบันการถ่ายคลิปวิดีโอหรือบันทึกเสียง สามารถจะทำได้โดยง่ายเป็นอย่างมากผ่านโทรศัพท์มือถือ เราจึงมักนิยมอัดคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอกันไว้เมื่อเกิดมีปัญหาข้อพิพาท หรือมีการให้สัมภาษณ์ข่าวกับสื่อต่างๆ ด้วยความเต็มใจและยินยอมคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าว ย่อมสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ทั้งชั้นสอบสวนและชั้นศาล แต่ในกรณีที่การอัดเสียงหรือแอบถ่ายโดยที่คู่กรณีไม่ได้รู้ตัว หรือเป็นการแอบลักลอบบันทึก จะสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่ นั้น ต้องแยกเป็น 2 กรณีด้วยกันคือ หากคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกแอบลักลอบบันทึกโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หรือได้ลักลอบบันทึกโดยคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่ศาลฎีกาตีความว่า พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยมิชอบศาลจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้ แต่ข้อห้ามดังกล่าวไม่ใช่เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด กฎหมายยังผ่อนปรนให้สามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้ หากการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม มากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของประชาชน หากคุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานศาลมีความสำคัญจริงๆ ที่จะเอาผิดจำเลยหรือจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ และมีความน่าเชื่อถือสูง ตัวอย่างเช่นคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด เพราะมีคนอื่นเป็นคนกระทำความผิดหรือคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าวแสดงได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกระทำความผิด เพราะมีคลิปเหตุการณ์ขณะจำเลยกระทำความผิดเห็นหน้าของจำเลยชัดเจน เช่นนี้ ย่อมถือว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ ศาลก็อาจจะรับฟังคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้ “จึงเห็นได้ว่า คลิปภาพคลิปเสียงคดี ภาพถ่าย พยานหลักฐาน วัสดุ สิ่งของ คดีที่ตำรวจไซเบอร์นำหมายศาลบุกค้นค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก และปฏิบัติการปูพรหมพร้อมกันอีก 30 จุด การให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้โดยสื่อโซเชียล คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในศาลได้ และผมยังมองว่าพยานหลักฐาน เหล่านั้น มัดตัวเองพอสมควรในเรื่องแนวทางการสืบพยานในชั้นศาล เพราะได้พูด ออกสื่อไปหมดแล้ว ดิ้นไม่ได้แล้ว แม้แต่ทนายอนันต์ชัยที่พลัังปากไปว่า “น้องพวกนี้เขาทำความดีมาทั้งชีวิต มาผิดครั้งเดียวจะเอากันให้ตายเชียวหรือ” ยังอาจถูกมองว่าเป็นการรับสารภาพหรือไม่ นี่คือข้อเสียที่เมื่อเป็นคดีความ ถ้าข้อเท็จจริงยังไม่ตกผลึก อย่าริตั้งโต๊ะแถลงข่าวหาแสง มิเช่นนั้นท่านอาจจะไม่มีคำพูดอะไรไปแก้ตัวในศาลได้อีกเลย” ทนายเชาว์ ระบุ