ความอ้วน ไม่ใช่แค่หุ่นไม่ดีไม่สวยไม่หล่อ แต่มีผล “สมองหดตัว” สมองเสื่อมเร็วขึ้น
วันที่ 30 ส.ค. 2566 เวลา 12:03 น.
หมอดื้อ ยืนยันด้วยผลวิจัย "ความอ้วน" ไม่ใช่แค่หุ่นไม่ดี ไม่สวยไม่หล่อ แต่มีผลให้เนื้อสมองหดตัว ทำให้สมองฝ่อ สมองเสื่อมเร็วขึ้น แม้ร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว วันนี้ (30 ส.ค.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “สมองเหี่ยวหด ถ้ายังอ้วน” โดยระบุว่า ถึงแม้จะมีรายงาน (lancet neurology 2015) ว่า “อ้วน...จะสมองเสื่อมช้าลง” แต่ต้องพิจารณาข้อมูลต่างๆ รอบด้านให้ดี แม้อยากเชื่อก็ตาม เพราะค้านกับความรู้ กลไก ขั้นตอน การเกิดโรคทุกชนิด แทบทุกอวัยวะ ซึ่งมากกว่า เร็วกว่า รุนแรงกว่าในคนอ้วน ส่วนคนผอม หรือไม่อ้วน รุ่งกว่า “ขอร้องนะครับ กินกับ ไม่กินมากสำหรับข้าว แป้ง ข้าวเหนียว ขนมปัง ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ขนมหวาน แทนด้วยผักผลไม้กากใย วุ้นเส้น งดน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาเขียว ชาขาวใส่ขวด ที่โฆษณาว่าไม่มีกลูโคส แต่มีฟรุกโตส อันตรายหนักเข้าไปอีก มีไขมันเกาะตับสูง หวานจากผลไม้ กินทั้งลูกทั้งชิ้นไม่เป็นไร ให้ไหว้ก็ยอมครับ รักษาตัวเองดีที่สุด” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ระบุไว้ ปัจจุบันทราบกันดี คนอ้วนไม่ว่าจะวินิจฉัยโดยใช้รูปแบบดัชนีมวลกาย เส้นรอบพุง หรืออัตราส่วนระหว่างเอวและสะโพก ต่างมีความเกี่ยวโยงกับการเกิดโรคหัวใจ อัมพฤกษ์หรือโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งนี้ แม้จะไม่ต้องมีความดันสูงร่วมอยู่ก็ตาม และยังส่งเสริมให้เป็นโรคความดันสูง เบาหวานได้ง่ายและรุนแรง การศึกษาในสหรัฐฯในวารสาร Annals of Neurology ตั้งแต่ 2010 (และถูกยืนยันซ้ำจัดการศึกษาไลฟ์รายงานจนกระทั่งถึงปัจจุบันในปี 2023) จากการศึกษาในคนวัยกลางคน (อายุเฉลี่ยราว 60 ปี) 733 คน พบว่าไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าอ้วนปริมาณเนื้อสมองจะยิ่งหดน้อยลง โดยการตรวจด้วยคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ทั้งนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรคอื่นๆร่วม เช่นโรคหลอดเลือดสมองตีบ และดัชนีชี้วัดของ “ความอ้วน” ที่แม่นยำว่าจะมี “สมองหด” ดีที่สุด จะเป็นปริมาณไขมันในเครื่องใน อวัยวะภายในที่อยู่ในพุง (Visceral adipose tissue) รวมทั้งขนาดของพุงเมื่อเทียบกับสะโพก ซึ่งดัชนีอย่างแรกต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ (CT scan) ในการตรวจ และการสะสมของไขมันดังกล่าวก็จะเป็นสัดส่วนกับขนาดของโพรงสมองที่ใหญ่ขึ้นด้วย (โดยเกิดเนื่องจากสมองหดตัวไป) โดยเฉพาะในบริเวณสมองกลีบขมับที่เป็น ตำแหน่งแรกๆที่เหี่ยวฝ่อก่อนในโรคอัลไซเมอร์ การที่ “อ้วน” ทำให้สมองหดเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งนี้ อาจอธิบายจากการที่คนอ้วนจะมีสารในเลือดที่ก่อให้เกิดการอักเสบมากกว่าธรรมดา และเกี่ยวพันกับภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งคอยควบคุมการเผาผลาญและการใช้พลังงาน การที่เริ่มมีสมองหดจะเป็นจุดสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดโรคสมองฝ่อ ความจำเสื่อม (dementia) ได้มากขึ้น เร็วขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อเนื้อสมองสำรองลดน้อยถดถอยไป และเมื่อปะทะกับโรคสมองฝ่อจริงๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคหลอดเลือดสมองตีบ ก็จะปรากฏอาการเร็วขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้น และการดำเนินของโรคก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก และในกรณีของโรคหลอดเลือดสมองอัมพฤกษ์ เมื่อเป็นแล้ว การฟื้นตัวก็จะยิ่งช้าเข้าไปอีก ภาวะดื้อฮอร์โมนอินซูลิน นอกจากที่ทราบกันอยู่แล้วว่าเร่งให้สมองเสื่อมเร็วในคนที่เป็นเบาหวาน และที่ยิ่งอ้วนด้วย มีรายงาน (JAMA Neurology 2015) พบว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่ดีว่าใครสมองจะพังก่อน ทั้งนี้ จากการศึกษาคนที่ตรวจว่าสมองยังดีดูปกติ 150 ราย เป็นผู้หญิง 108 อายุเฉลี่ยอยู่ในตอนปลายวัยกลางคน คือประมาณ 60.7 ปี ในจำนวนนี้มีคนในครอบครัวที่เป็นอัลไซเมอร์ 68.7% และ 40.7% มียีนหรือพันธุกรรมที่ส่งเสริมอัลไซเมอร์ โดยที่มีคนเป็นเบาหวาน 4.7% จับมาตรวจการใช้พลังงานจากกลูโคสในสมอง ด้วย fludeoxyglucose F 18-labeled positron emission tomography พบว่าคนที่มีภาวะดื้ออินซูลินจากการตรวจเลือด มีความผิดปกติในสมองส่วนต่างๆ ใช้พลังงานได้น้อยลง โดยเฉพาะสมองกลีบขมับทางด้านใน และเป็นมากทางซีกซ้าย ซึ่งควบคุมการเก็บความจำปัจจุบัน ซึ่งตรงกับเมื่อตรวจพุทธิปัญญาการทำหน้าที่ของสมองอย่างละเอียด ก็จะมีการถดถอยในส่วนการจดจำในทันที และการฟื้นความจำ ข้อมูลเหล่านี้ชัดเจนที่ชี้ว่าตั้งแต่ยังไม่อ้วน แต่เริ่มมีภาวะดื้ออินซูลิน ก็ยังมีความผิดปกติของสมองในจุดกำเนิดของอัลไซเมอร์แล้ว ถ้ามีอ้วนด้วย แถมมีเบาหวาน จะรุนแรงหนักหนาขึ้นอีก ทั้งนี้ ถ้าประกอบกับไขมันสูง ความดัน หัวใจการขับถ่ายของเสียจากเซลล์สมองยิ่งลำบากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น “อ้วน” ณ ขณะนี้อย่านิ่งนอนใจว่าไม่สวย ไม่หล่ออย่างเดียว “อ้วน” ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง ถึงตายได้ง่ายและสมองยังหดเร็วอีกด้วย เครื่องดื่มน้ำอัดลมและขนมหวาน มีโทษไม่ได้น้อยในระยะยาว ไปกว่าบุหรี่และสุรานะครับ ส่วนรายงานที่สวนกระแสที่กล่าวข้างต้นว่า อ้วนแต่สมองเสื่อมช้า ยังเป็นการรายงานซึ่งยังหาเหตุผลชัดเจนไม่ได้ หมอคิดเอาเองนะครับว่า น่าจะเกี่ยวกับ “ความสุข” ถ้าอ้วนพองาม ไม่มีโรคอื่นๆ แทรกซ้อน เดินพอไหว เข่ายังรับน้ำหนักได้ ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนที่ด้อยโอกาส คิดถึงแต่สิ่งที่ดีงาม น่าจะช่วยสุขภาพได้อย่างดี และอาจสะท้อนไปถึงคนที่เคร่งครัดน้ำหนัก สุขภาพอย่างแสนสาหัส ออกกำลัง กินอาหารตามกำหนด กฎเกณฑ์ตามเวลา หน้าหมองคล้ำเป็นทุกข์เวลาเจาะเลือด ไขมันขึ้นแม้แต่นิดนึงก็ตาม ถ้าจะคุมอาหาร รักษาสุขภาพก็ทำด้วยความเต็มใจ ทำด้วยความสุข ทำเพื่อจะได้ไม่เจ็บป่วย เป็นภาระครอบครัว...ถึงจะตายเร็วไปหน่อย แต่ตายอย่างเป็นสุขก็ไม่เลวครับ.