“เรืองไกร” ร้องสอบ “ชาดา” เสียภาษี ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่

“เรืองไกร”  ร้องสอบ “ชาดา” เสียภาษี ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่

วันที่ 30 ส.ค. 2566 เวลา 08:58 น.

“เรืองไกร”  ร้องนายกฯ สั่งสอบกรมสรรพากร “ชาดา” เสียภาษี ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่   วันนี้ ( 30ส.ค.66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่อง ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ สั่งการให้กรมสรรพากร ตรวจสอบ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้ที่มีชื่อใน “ครม.เศรษฐา” ว่าจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องจาก จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ สส.ที่พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมีการเปิดเผยไว้ในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. กว่า 500 คน นั้น พบข้อสังเกต กรณีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ในเรื่องภาษีเงินได้ เพราะ การแจ้งรายได้ที่นำไปเสียภาษี  20,012,720 บาท ขณะที่ เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ที่แจ้งไว้ 6,036,751.38 บาท ซึ่งเป็นผลต่างเกือบ 14 ล้านบาท (20,012,720 - 6,036,751.38) จึงขอให้มีการตรวจสอบภาษีดังกล่าว ว่ามีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วน หรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้               ข้อ 1. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุข้อมูลรายได้ ดังนี้                - รายได้ค่าตอบแทน                                               1,362,720 บาท               - รายได้ค่าที่ปรึกษา                                              600,000 บาท               - รายได้ค่าเช่าแผงเนื้อ                                           600,000 บาท               - รายได้ค่าขายนาฬิกา 1 เรือน                               8,000,000 บาท               - รายได้ค่าอ้อย                                                    450,000 บาท               - รายได้ธุรกิจค้าโค-กระบือ                                  10,000,000 บาท               - รายได้ค้าโคกระบือชำแหละ                                 7,000,000 บาท                         รวมรายได้ต่อปี                                       28,012,720 บาท               ข้อ 2. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้               - เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร                  6,036,751.38 บาท               ข้อ 3. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุรายละเอียดประกอบรายการเงินลงทุน(บางส่วน)ที่เกี่ยวกับรายได้ ดังนี้               - โค จำนวน 214 ตัว                                         10,700,000 บาท               - กระบือ จำนวน 132 ตัว                                      6,600,000 บาท               ข้อ 4. เมื่อเปรียบเทียบกับกรณี นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุข้อมูลรายได้ ดังนี้               - รายได้เงินเดือน                                                  1,362,720 บาท              - รายได้จากการเลี้ยงสัตว์                                      600,000 บาท                         รวมรายได้ต่อปี                                      1,962,700 บาท               ข้อ 5. นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้ - เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร                   1,962,700 บาท               ข้อ 6. นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566  โดยระบุรายละเอียดประกอบรายการเงินลงทุน(บางส่วน)ที่เกี่ยวกับรายได้ ดังนี้               - ไก่ชน พร้อมอุปกรณ์การเลี้ยง จำนวน 500 ตัว        5,000,000 บาท                         ข้อ 7. กรณีของนายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ จะเห็นได้ว่า รายได้รวมกับเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมีจำนวนที่เท่ากัน               ข้อ 8. แต่กรณีของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่แจ้งรายได้รวมต่อปี 28,012,720 บาท เมื่อหักรายได้ค่าขายนาฬิกา 1 เรือน 8,000,000 บาท (น่าจะเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมเสียภาษี) ควรจะเหลือรายได้ที่นำไปเสียภาษี  20,012,720 บาท ดังนั้น เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ที่แจ้งไว้ 6,036,751.38 บาท จึงมีผลต่างเป็นจำนวนประมาณเกือบ 14 ล้านบาท (20,012,720 - 6,036,751.38) กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้มีการตรวจสอบภาษีต่อไปว่ามีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วน หรือไม่