สว.สมชาย ยังบอกไม่ได้เลือกใครเป็นนายกฯ รอ กกต.รับรองผลก่อน เชื่อ ก้าวไกล รวมเสียงไม่ถึง 309
วันที่ 16 พ.ค. 2566 เวลา 11:17 น.
สว.สมชาย ยังบอกไม่ได้เลือกใครเป็นนายกฯ รอ กกต.รับรองผลก่อน เชื่อ ก้าวไกล รวมเสียงไม่ถึง 309 เพราะบางพรรคยังลังเล ขณะที่ กกต. ควรส่ง ให้ศาลฯ วินิจฉัยปม พิธา ถือหุ้นสื่อ นายสมชาย แสวงการ สว.กล่าวถึงผลการเลือกตั้งว่า เป็นเรื่องดีที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก คาดว่าเดือนกรกฎาคม จะสามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้ จากนั้นภายใน 15 วันก็จะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอน ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงตอนนี้ ยังตอบไม่ได้ว่า สว. จะเลือกใคร เบื้องต้นทราบว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอตัวเป็น พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่มีอะไรการันตี ว่าจะมีเพียงชื่อเดียว พรรคอื่นอาจจะเสนอชื่อมาอีกก็ได้ ยังมีเวลา และพรรคการเมืองอาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าจะเลือกใครต้องรอให้กกต. รับรองผลการเลือกตั้งก่อน เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ แต่ส่วนตัวมีกติกาชัดเจนว่า คนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต / มีวิสัยทัศน์นำพาประเทศไป สู่ความเจริญ ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่สร้างศัตรู หรือเป็นคู่กรณีกับประเทศใด สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งประเทศ และไม่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองเหมือนต่างชาติ ผู้นำประเทศต้องมีความรอบรู้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การบริหารราชการแผ่นดิน รู้ที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยแวดล้อมที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น รัฐบาลใหม่จะสามารถพาประเทศ ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม นายสมชาย เชื่อว่า สว. จะมีวุฒิภาวะ ในการพิจารณาจะเลือกใคร ส่วนตัวไม่ขอก้าวล่วง ส่วนที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า สว. จะขวางไม่ให้พรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลนั้น จะกลายเป็นสร้างแรงกดดัน ให้กับ สว. เลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ควรทำ แต่หากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ เสนอ แคนดิเดต เข้ามา และมีเสียง สนับสนุนมากกว่า พรรคก้าวไกล สว. ก็ต้องดำเนินการไปตามเสียงส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน ส่วนตัวเชื่อว่า พรรคก้าวไกล อาจรวมเสียง ได้ไม่ถึง 309 เสียง เพราะยังมีบางพรรคที่มีปัญหา ต้องพิจารณาอีกหลายอย่างประกอบ อย่างเช่นการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่หลายคนเป็นกังวล ดังนั้นต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะแก้ไขหรือยกเลิก นอกจากนี้ นายพิธา ต้องพิสูจน์เรื่องการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อมวลชน ที่ยังประกอบกิจการอยู่ด้วย ซึ่ง กกต. จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อให้การขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธาเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่นเดียวกับหลายหลายคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องตรวจสอบการถือครองหุ้นของตัวเองให้ชัดเจนด้วย