เฝ้าระวังโรคหัด เด็กแรกเกิด - 4 ขวบ ป่วยมากสุด อาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง

วันที่ 25 เม.ย. 2566 เวลา 12:18 น.

เฝ้าระวังโรคหัด ปีนี้พบป่วยแล้ว 79 คน เด็กแรกเกิดถึง4ขวบ ป่วยมากสุด อาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้าแล้วค่อยลามไปแขน-ขา       เฝ้าระวังโรคหัด วันนี้ (25 เม.ย.66) พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ กรมควบคุมโรค เผยถึงสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย ในปี 65 มีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 230 คน และในปี 66 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-19 เม.ย.66 พบว่ามีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 79 คน คิดเป็นอัตราป่วย 0.12 ต่อแสนประชากร ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต กลุ่มผู้ป่วยที่พบสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทารกอายุแรกเกิด - 4 ขวบ 35.44 % กลุ่มอายุ 25-34 ปี 18.99 % และกลุ่มอายุ 35-44 ปี 16.46 % ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ยโสธร ภูเก็ต ยะลา นราธิวาส และกรุงเทพฯ ไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการรายงานโรคหัดในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ป่วยมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศไทย 2 คน        “คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคหัดได้ เนื่องจากโรคหัดติดต่อผ่านทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้า แล้วค่อยลามไปแขนและขา เมื่อผื่นขึ้นประมาณ 1-2 วัน ไข้จะเริ่มลดลง โดยในผู้ป่วยบางรายสามารถพบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้  โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด (MMR) ตั้งแต่วัยเด็ก โดยแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม เข็มแรกเมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และเข็มที่สองตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง จึงมักเกิดการระบาดในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่า 95% จึงขอแนะนำให้พาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อมีอาการไข้ ไอ และผื่นขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการวินิจฉัยยืนยันโรคหัดแล้วควรหยุดเรียนหรือหยุดงานประมาณ 4 วันหลังจากผื่นขึ้น ในสถานที่ที่มีผู้อาศัยอยู่แออัด เช่น เรือนจำ ค่ายทหาร ควรมีการคัดกรองและแยกพื้นที่สำหรับผู้ป่วยโรคหัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค