สาวฉีดฟิลเลอร์หมอกระเป๋าทำหน้าพัง
วันที่ 7 เม.ย. 2566 เวลา 06:18 น.
เช้านี้ที่หมอชิต - ทำเอาหลายคนที่ได้เห็นภาพต้องขนลุกขนพองไปตาม ๆ กัน กับเรื่องราวของสาว MC คนหนึ่ง ที่ไปฉีดฟิลเลอร์มากับหมอคนหนึ่ง แต่ผลปรากฏว่าไม่ได้ออกมาเหมือนที่คาดคิด ทำเอาสาวเจ้าจิตตกจนถึงขั้นอยากตาย จากกรณีที่เพจ "Mali Kanjanaphuping" ซึ่งเป็นของ "มะลิ ธนาภรณ์ กาญจนภูพิงค์" หนึ่งในหญิงสาวที่เคยไปออกรายการชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้โพสต์ภาพใบหน้าของตนเองที่อักเสบบวม หลังจากไปฉีดฟิลเลอร์กับหมอคนหนึ่ง ย่านลาดพร้าว เล่นเอาหลายคนที่เห็นภาพนี้ตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ผู้สื่อข่าวได้พบกับ น้องมะลิ อายุ 26 ปี เล่าว่า ตัวเองทำงานเป็นพิธีกร ถ่ายแบบ Mc รู้จักหมอคนนี้เมื่อ 4 ปีก่อน เขาเปิดคลินิกอยู่ลาดพร้าว 122 ซึ่งรุ่นพี่นางแบบหลายคนแนะนำเพราะเคยมาทำที่นี่ ตอนนั้นไปฉีดโบท็อกซ์ ร้อยไหม ก็ไม่มีอาการอะไร จากนั้น 1 ปี มีพี่ในวงการมาบอกว่า หมอคนนี้เป็นเพียงพยาบาล ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะเรายังไม่ได้มีผลกระทบ กระทั่งวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ไปฉีดฟิลเลอร์กับหมอคนนี้เป็นครั้งแรก ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปฉีดที่คลินิก แต่หมอคนนี้อ้างว่าคลินิกปิดไปแล้วเพราะโดนพิษโควิด-19 จึงเรียกให้มาฉีดฟิลเลอร์ที่ห้องพัก โดยตอนนั้นตกลงกันที่ 2,700 ต่อ CC. ซึ่งราคาถูกกว่า โดยฉีดที่ร่องแก้ม 1.5 CC 2 ข้าง รวม 3 CC. ฉีดที่ปากบนล่าง 1 CC. ฉีดโบท็อกซ์ หน้าผาก กรอบหน้า ฉีดแฟ็ตส่วนเกินใต้คางและแก้ม 1 ขวด ฟรี รวมราคาทั้งหมดประมาณ 15,000 บาท ซึ่งหลังฉีดไปได้ไม่ถึงชั่วโมง มีอาการน้ำมูกไหลที่จมูกฝั่งขวา และมีรอยช้ำ คิดว่าคงจะปกติ โดยได้ถ่ายรูปส่งไปให้ดู หมอคนดังกล่าวบอกว่า เป็นอาการแพ้ยาชา ให้ไปซื้อยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ มารับประทานเพื่อลดอาการ จนกระทั่งวันที่ 18 มีนาคม ตนเองมีคิวงานที่จังหวัดอุดรธานี แต่รู้สึกแสบโพรงจมูก จึงไปหาหมอซึ่งหมอก็ให้ยามากิน ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม เริ่มมีอาการตา จมูก ปาก บวม พอตอนเย็นมีเม็ดขึ้นที่แก้มขวา ทีแรกคิดว่าเป็นสิว คงไม่เป็นอะไร เลยเดินทางไปทำงานต่อที่ สปป.ลาว แต่หลังจากนั้นอาการก็เริ่มแย่ลง กระทั่งวันที่ 20 มีนาคม บริเวณที่เคยคิดว่าเป็นสิวกลับบวมแดงและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีอาการแค่ด้านขวา ทั้ง ๆ ที่ฉีด 2 ข้าง จึงตัดสินใจไปหาหมอ ซึ่งหมอที่รักษาระบุว่า เป็นอาการของการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด ซึ่งเสี่ยงกับอาการฟิลเลอร์ไหลเข้าตา อาจทำให้ตาบอดได้ ตอนนั้นต้องฉีดยาสลายฟิลเลอร์ไป 6 ขวด ก่อนจะถูกส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาล ซึ่งต้องฉีดยาสลายไปอีกถึง 21 ขวด ตลอดเวลาที่รักษามา 14 วัน รวม 45 ขวด ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้น หลังเกิดเหตุพยายามติดต่อหมอ อ้างว่ามีภาระต้องดูแลครอบครัว ไม่มีเงินก้อนมาเยียวยา คุยล่าสุดเมื่อ 3 วันก่อน แต่ก็เงียบไป ที่ต้องออกมาโพสต์เพราะต้องการเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่จะฉีด ว่าอย่าใช้บริการหมอกระเป๋า ให้เลือกสถานพยาบาลให้ดี ตอนนี้อยากให้ออกมารับผิดชอบมากกว่าส่งข้อความคำขอโทษมาให้ ซึ่งมองว่าไม่จริงใจ ขอบคุณภาพจาก : Facebook Mali Kanjanaphuping