ฝากขังแก๊ง ตร.รีดเงินชาวจีน
วันที่ 23 มี.ค. 2566 เวลา 17:29 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว 3 อดีตตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ก่อเหตุอุ้มรีดเงินชาวจีน ฝากขังต่อศาล ฝากขังแก๊ง ตร.รีดเงินชาวจีน ความคืบหน้าคดีแก๊งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ก่อเหตุอุ้มรีดไถเงินหญิงไทย ที่เป็นล่ามภาษาจีน พร้อมเพื่อนชาวจีนอีก 1 คน เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ดินแดง ซึ่งเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (22 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายโอภาส ในฐานะคนชี้เป้า มาทำการสอบปากคำ หลังพบความเชื่อมโยงในการก่อเหตุ ขณะที่ ช่วงเช้าวันนี้ (23 มี.ค.) ได้มีการควบคุมตัว 3 อดีตตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฝากขังครั้งแรก โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว, ร่วมกันข่มขืนจิตใจผู้อื่น, และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วน พันตำรวจตรี จิรภัทร บุญนำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ที่ถูกออกหมายจับ และยังหลบหนีอยู่ ได้ติดต่อขอมอบตัวภายในวันนี้ แต่ยังไม่ทราบเวลาที่ชัดเจน สำหรับคดีนี้ ศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องแล้ว 6 คน ในจำนวนนั้น 5 คน เป็นตำรวจ ส่วนอีก 1 คนเป็นพลเรือน ยันไทยพร้อมรับ นทท.จีน สยบดรามาเที่ยวไม่ปลอดภัย กรณีรายการ ข่าวเย็นประเด็นร้อน ได้เปิดประเด็นเรื่องคลิปไวรัล เมื่อมีสมาชิกโซเชียลชาวจีนบางคน อัดคลิปโจมตีการท่องเที่ยวไทย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องมีข้อสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ได้แจ้งข่าวอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการปล่อยข่าวที่สร้างความเข้าใจผิด เรื่องความปลอยภัยในการเที่ยวเมืองไทย โดยทีมข่าวเย็นประเด็นร้อนขอสรุปใจความสำคัญดังนี้ "ไทยให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีนอย่างมาก ดังนั้น ต้องชี้แจงความเข้าใจผิดของคลิปที่มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความไม่ปลอดภัยที่จะมาเที่ยวประเทศไทย โดยประเทศไทยนั้นได้เตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างดี ฉะนั้นทางการไทย จึงอยากให้นักท่องเที่ยวจีนมาท่องเที่ยวไทยได้อย่างมั่นใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยมีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสม เพื่อดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคน" ขณะที่ คลิปที่เป็นไวรัลก่อนหน้านี้ ที่มีการกล่าวอ้างเรื่องตั้งกองกำลังต่อต้านจีนในประเทศไทย หรือใช้ร้านอาหารในไทย เป็นแหล่งลักพาตัวนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนนั้น จากการตรวจบัญชีโซเชียลดังกล่าว ได้หายไปจากระบบแล้ว