เปิดหลักฐานชัด เอาผิดตำรวจ ตม. อุ้มรีดเงินชาวจีน
วันที่ 23 มี.ค. 2566 เวลา 07:09 น.
สนามข่าว 7 สี - เปิดหลักฐานชิ้นสำคัญที่ใช้มัดตัว 1 ในตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ร่วมอุ้มรีดเงินชาวจีน คือภาพที่ถ่ายคู่กับหญิงสาว ขณะมอบเงินที่มีธนบัตร 1,000 บาท 1 ปึก และเป็นการมอบให้หลังก่อเหตุเพียง 1 วันเท่านั้น หลักฐานชิ้นสำคัญที่ตำรวจใช้มัดตัว 1 ใน 5 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แก๊งอุ้มรีดทรัพย์ชาวจีนและล่ามสาวชาวไทย เป็นภาพถ่ายที่ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊กบัญชีหนึ่ง ซึ่งปรากฏภาพดาบตำรวจในแก๊งอุ้มรีด ส่งมอบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 1 ปึก ให้กับหญิงสาวที่มีท่าทางใกล้ชิดสนิมกัน โดยหญิงคนนี้มีรายงานว่าเป็นผู้โพสต์ภาพนี้ในเฟซบุ๊กด้วยตัวเอง เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุอุ้มรีดทรัพย์เพียงวันเดียว โดยตำรวจเตรียมจะเชิญตัวหญิงสาวรายนี้มาสอบปากคำ เพิ่อขยายผลว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดหรือไม่ ส่วนความคืบหน้าคดี ตำรวจ ตม.ทั้ง 4 นาย ประกอบด้วย ยศพันตำรวจตรี 1 นาย ร้อยตำรวจโท 2 นาย และดาบตำรวจ 1 นาย พนักงานสอบสวนยังคงนำตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม แต่ทั้งหมดยังคงให้การภาคเสธ โดยรับว่าอยู่ในชุดที่ไปจับกุมชาวจีน แต่ไม่ได้เรียกรับทรัพย์ ส่วนร้อยตำรวจโทที่ร่วมกระทำผิด แต่ยังไม่ถูกออกหมายจับ และเข้ามอบตัวด้วย ทางผู้บังคับบัญชาก็มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย โดยร้อยตำรวจโทที่เข้ามอบตัวได้ถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาลฯ แล้วเมื่อวานนี้ พร้อมกับคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงาน ที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเองในการสร้างโอกาสกระทำผิด ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม หากปล่อยตัวชั่วคราวอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อีกทั้งเป็นคดีร้ายแรง ศาลจึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว ส่วนที่เหลืออีก 3 คน จะถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาลฯ ในวันนี้ ส่วนผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 1 นาย ยศพันตำรวจตรี ได้ประสานผู้บังคับบัญชาตำรวจนายดังกล่าว ให้ช่วยประสานเข้ามอบตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อ ขณะที่ชุดสืบสวนเองก็ปูพรมค้น 3 จังหวัด ซึ่งเป็นบ้านของพันตำรวจตรีนายนี้ และบ้านญาติ คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี และจันทบุรี เพื่อติดตามจับกุมแต่ยังไม่พบตัว สำหรับการรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิด เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้ไปตรวจรถยนต์ 2 คันที่ใช้ก่อเหตุ เพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝงที่อยู่ในรถ โดยรถทั้ง 2 คันเป็นของตำรวจยศพันตำรวจตรีที่ยังหลบหนีอยู่ และของดาบตำรวจ หนึ่งในผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัว ส่วนมูลเหตุจูงใจที่ทำให้ก่อเหตุในครั้งนี้กับนักธุรกิจชาวจีน เนื่องจากพบว่าไปสวมบัตรประชาชนคนไทย ในเรื่องนี้ตำรวจได้นำตัวชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนายหน้าที่พาผู้เสียหายชาวจีนไปทำหนังสือเดินทาง จากจังหวัดชัยภูมิ มาสอบปากคำว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ และเกี่ยวข้องกับการพาคนจีนไปสวมบัตรประชาชนด้วยหรือเปล่า เพราะจากประวัติพบว่า เมื่อปี 2560 เคยร่วมก่อเหตุอุ้มรีดทรัพย์แบบเดียวกันนี้ในพื้นที่ สน.โคกคราม และปี 2565 ถูกดำเนินคดีฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐ ปลอมบัตรประจำตัวประชาชนฯ โดยพลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งข้องสงสัยว่า วันเกิดเหตุนายหน้าคนนี้ ได้พานักธุรกิจชาวจีนไปทำหนังสือเดินที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และบอกกับผู้เสียหายว่า ไม่สามารถทำหนังสือเดินทางได้ เพราะขาดเอกสารบางส่วน ก่อนจะพาผู้เสียหายและล่ามสาวชาวไทยกลับไปเอาเอกสารที่บ้าน จนเป็นเหตุให้ถูกอุ้มรีดทรัพย์ในที่สุด นอกจากนี้ตำรวจ ยังพบว่ารถยนต์ของนายหน้าคนนี้ มีลักษณะตรงกันกับรถที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด ขณะไปส่งผู้เสียหายที่บ้าน ก่อนเกิดเหตุอุ้มรีดทรัพย์ แต่มีการเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งจากการสอบปากคำก็ให้การรับว่า ติดทะเบียนที่ไม่ตรงกับรถจริง และรถยนต์คันนี้ซื้อต่อมาจากเพื่อน ไม่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิใด ๆ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบประวัติผู้เสียหายชาวจีน ที่สวมบัตรประชาชนคนไทย ตรวจสอบประวัติทั้งชื่อไทย และชื่อจีนแล้ว ยังไม่พบการกระทำความผิด แต่การที่ชาวจีนรายนี้มีการสวมบัตรประชาชนคนไทย และอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ก็ต้องขยายผลสืบสวนว่า มีวัตถุประสงค์กระทำผิดกฎหมายหรือไม่ และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรประชาชน ก็จะต้องมีการดำเนินคดีถึงที่สุดด้วย จากนั้นเมื่อช่วงเกือบ 20.00 น. ตำรวจชุดสืบสวนนครบาล ได้นำตัว นายโอภาส ผู้ต้องสงสัยทำหน้าที่ชี้เป้าให้แก๊งอุ้มรีดไถเงินชาวจีน มาที่ สน.ดินแดง โดยตำรวจชุดสอบสวนได้สอบปากคำในประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องการไปรู้จักกับผู้เสียหาย กลุ่มผู้ก่อเหตุ ทั้งตำรวจ รวมไปถึงชาวต่างชาติ และความเชื่อมโยงกับขบวนการนี้ เบื้องต้นมีรายงานว่า นายโอภาส ให้การภาคเสธว่า รู้จักกับผู้เสียหาย และแนะนำวิธีการที่จะอยู่ในประเทศไทยได้นานขึ้น แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนชี้เป้าให้กับกลุ่มผู้ต้องหาชาวต่างชาติ และตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ตำรวจตรวจประวัติย้อนหลังพบมีหมายจับค้างเก่าติดตัวนายโอภาส เป็นคดีลักษณะคล้ายกันของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าหมายจับยังมีผลหรือไม่ หากยังมีผลก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี แต่ในส่วนของคดีนี้ ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือออกหมายจับใด ๆ จากนั้น ตำรวจได้นำตัวตำรวจ ตม.ที่ตกเป็นผู้ต้องหา 3 คน ออกจากห้องควบคุมมาแยกสอบปากคำเพิ่มเติมอย่างเคร่งเครียดที่ห้องสอบสวน โดยมี พลตำรวจโทธิติแสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มาร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในแต่ละห้อง ก่อนจะออกมาเปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 คนอีกครั้ง ทุกคนยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ร่วมก่อเหตุดังกล่าว แต่ว่าตำรวจมีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน โดยวันนี้จะนำตัวไปฝากขังตามกรอบระยะเวลา ส่วนการสอบปากคำตัวของ นายโอภาส ต้องให้ชุดสืบสวนสอบสวนทำการสอบปากคำอย่างละเอียดตลอดทั้งคืนนี้ และแสวงหาพยานหลักฐานอื่น ๆ เพิ่มเติม