คืบหน้า สารวัตรสันติบาล คลุ้มคลั่ง
วันที่ 15 มี.ค. 2566 เวลา 07:01 น.
สนามข่าว 7 สี - ผ่านไปแล้วเกือบ 20 ชั่วโมง กรณีตำรวจสันติบาลคลั่ง ยิงปืนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านสายไหม กรุงเทพฯ เมื่อ 02.00 น.ที่ผ่านมา มีการยิงแก๊สน้ำตาเป็นรอบที่ 2 แต่ยังไร้ผล สถานการณ์ล่าสุดจะเป็นอย่างไร คุณอภิเอก บัลลังก์โพธิ์ ผู้สื่อข่าวอยู่ในพื้นที่ ไปติดตามกัน ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ตำรวจยังคงตรึงกำลังเจรจากับผู้ก่อเหตุ และก็มีการใช้แก๊สน้ำตาอีกรอบ แต่ก็ยังไม่เป็นผล ผู้ก่อเหตุยังไม่มอบตัว เป็นเวลาเกือบ 20 ชั่วโมง ที่ผู้ก่อเหตุยังหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านพัก ซึ่งเมื่อคืน ตำรวจชุดเจรจาได้พยายามพูดคุยเพื่อให้ผู้ก่อเหตุยอมมอบตัว แต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งผู้ก่อเหตุยังหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน และมีการตะโกนตอบโต้ออกมาเป็นระยะ ยังไม่ยอมมอบตัวง่าย ๆ โดยปฏิบัติการครั้งนี้ มีตำรวจหลายหน่วยเข้ามาร่วม ส่วนวิธีการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงานของตำรวจนั้น ขออนุญาตไม่เปิดเผย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของตำรวจได้ จนกระทั่งเวลา 02.34 น. ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตารอบที่ 2 เข้าไปในบ้านผู้ก่อเหตุกว่า 30 นัด สื่อมวลชนที่มาทำข่าวก็ได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาไปด้วย กระเจิดกระเจิงไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุต้องออกจากบ้าน เพราะทนแก๊สน้ำตาไม่ไหว แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังไม่ออกมามอบตัว เรียกว่าอึดจริง ๆ โดนขนาดนี้ยังไม่ยอมออกมา สรุปก็คือ การปฏิบัติการครั้งที่ 2 ก็ไม่สำเร็จอีก จนเมื่อเวลา 06.00 น.ที่ผ่านมา ตำรวจพยายามเข้าเจรจาอีกครั้ง มีการใช้ระเบิดเสียงตามยุทธวิธี และมีเสียงคล้ายเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ก่อนที่เหตุการณ์จะสงบลง อย่างไรก็ตาม เมื่อวาน พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้มาติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์ด้วยตนเอง พร้อมกับยืนยันว่า ไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรง เนื่องจากผู้ก่อเหตุนั้นยังไม่ใช่ภัยคุกคาม เพื่อป้องกันการเกิดความสูญเสีย มุ่งเน้นความปลอดภัยทั้งตัวผู้ก่อเหตุ ตำรวจ และชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง จึงต้องมุ่งเน้นการเจรจา อีกทั้งผู้ก่อเหตุมีอาการป่วยทางจิตเวช จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญจากกรมสุขภาพจิตมาพูดคุยประเมินท่าทีผู้ก่อเหตุด้วย ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช้ความรุนแรงตามกระแสสังคม ที่มองว่าตำรวจปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานหลายชั่วโมง เพราะไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ผู้ก่อเหตุมีอาวุธปืน ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง จึงต้องรอเวลา ทำตามระดับขั้นตอนการปฏิบัติ จึงไม่สามารถทำตามกระแสสังคมได้ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นมาจากความเครียดเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่จากเรื่องการทำงานแต่อย่างใด