ชูวิทย์แฉอดีตผู้การ ตม.เอี่ยวขบวนการแปลงวีซ่าให้ทุนจีน

วันที่ 7 ธ.ค. 2565 เวลา 17:15 น.

ชูวิทย์แฉอดีตผู้การ ตม.เอี่ยวขบวนการแปลงวีซ่าให้ทุนจีน เก็บค่าหัว 1-3 แสนบาท พบเป็นเพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กโจ๊ก ชูวิทย์แฉทุนจีนอีก งานนี้ตำรวจ ตม.เอี่ยวด้วย วันนี้(7 ธ.ค.2565) เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดเผยถึงขบวนการเปลี่ยนแปลงวีซ่าให้แก่กลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งมีตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นายชูวิทย์ กล่าวว่า การออกมาเปิดโปงกลุ่มทุนจีนสีเทาไม่ใช่ประเด็นการเมือง แต่เป็นการตั้งคำถามไปยังผู้มีอำนาจที่อยู่ในรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล เพราะเรื่องที่เปิดเผยเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น โดยวันนี้จะเน้นไปที่ สตม.ซึ่งเป็นด่านแรก และมีผู้เกี่ยวข้องบางคนส่งเสริมให้ทุนจีนสีเทาเข้าสู่ประเทศ ในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า ซึ่งชาวจีนที่ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย เมื่อเข้ามาในไทย จะได้วีซ่านักท่องเที่ยว สามารถอยู่ในประเทศได้ 30 วัน ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็นวีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ(Non – Immigrant Visa B เพื่อทำงาน ติดต่อธุรกิจ เข้าร่วมการประชุมในประเทศไทย) หรืออาสาสมัครมูลนิธิ (Non – Immigrant Visa  O การเข้ามาในฐานะเป็นบุคคลในครัวเรือนหรือในความอุปการะ) โดยจะติดต่อผ่านคนกลางซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายชาวจีนที่ว่าจ้างคนไทย โดยจะพาชาวจีนไปเป็นอาสาสมัครมูลนิธิ เพื่อสนับสนุนการศึกษาภาษาจีน โดยใช้ช่องทางนี้ในการเปลี่ยนแปลงวีซ่า มีค่าใช้จ่ายให้แก่ ตม. รายละ 100,000-300,000 บาท สำหรับรายชื่อของมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวีซ่า ประกอบด้วย มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่ (ขอนแก่น) 2,847 ราย มูลนิธีกรีนคลีนเอิร์ธ (ชัยภูมิ) 1,028 ราย มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่ (กาฬสินธุ์) 907 ราย มูลนิธิสมาร์ทซีด (นครราชสีมา) 466 ราย มูลนิธิรักษ์ป่า (อุดรธานี) 334 ราย มูลนิธิครีเอทิ่งบาลานซ์ (เชียงใหม่) 312 ราย มูลนิธิ .... (สกลนคร) 295 ราย มูลนิธิกรีนคลีนเอิร์ธ (อำนาจเจริญ) 283 ราย นายชูวิทย์ กล่าวถึงมูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่ว่า มูลนิธินี้ เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2561 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านพิมานชื่น จ.ขอนแก่น ในปี 2563 มูลนิธินี้มีสมาชิก 2,747 ราย ใน จ.ขอนแก่น และใน จ.กาฬสินธิ์ อีก 907 ราย เมื่อลงพื้นที่ไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นเพียงบ้านหลังเก่า สภาพทรุดโทรม ซึ่งผู้ที่มีอำนาจในการขออนุมัติเปลี่ยนวีซ่านั้น ต้องเป็นระดับผู้บังคับการขึ้นไปของ สตม.ซึ่งระหว่างปี 2563-2564 ได้อนุมัติให้มีผู้เปลี่ยนประเภทวีซ่าแล้วกว่า 3,325 ราย ซึ่งนายตำรวจดังกล่าวมียศ พล.ต.ต.ถึง 3 นาย เป็น อดีต ผบก.ตม.4 และ ตม.5 โดยในนี้มี 2 นาย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.) 47 รุ่นเดียวกันกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. คือ พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์, พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ และคนสุดท้ายคือ พล.ต.ต.ณัฐวัฒน์ การดี พร้อมกับตั้งคำถามไปยัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ จะกล้าตรวจสอบหรือไม่ ส่วนกรณีที่นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล กล่าวหาเรื่องตกแต่งบัญชีของบริษัทเพื่อเลี่ยงภาษีนั้น นายชูวิทย์ ได้ยกตัวอย่างว่า การเป็นพ่อค้า เมื่อคิดจะลงทุนก่อสร้างโรงแรมแต่เงินไม่พอ ก็ต้องติดต่อผ่านธนาคาร หากไม่อนุมัติให้กู้ ต้องพูดคุยกับกรรมการเพื่อให้ร่วมลงทุนเพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องปกติทางการค้า และเรื่องนายทหารอดีต ผบ.ทบ.ที่มาร่วมงานแต่งลูกนั้น ก็รู้จักกันมานานแล้ว หากเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงครั้งนี้จริง ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะเปิดโปงธุรกิจสีเทา แต่ยืนยันว่าอดีต ผบ.ทบ.คนนี้ไม่ส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนจะย้อนถามว่าการมาตรวจสอบเรื่องภาษีแบบนี้ เป็นสรรพากรหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการเพราะประพฤติชั่วร้ายแรง นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า มีคนถามว่าออกมาเปิดโปงแบบนี้ ไม่กลัวตายเหรอ การเป็นคนดีแล้วกลัวตาย สังคมเราก็แปลกดี งานนี้ต้องมีคนพัง หากทุนจีนบริสุทธิ์จริง เหตุใดตอนค้นบ้านจึงหายตัวไปทั้งหมด มั่นใจว่าสิ่งที่พูดเป็นประโยชน์ต่อสังคม